คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4315/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินมีโฉนดโจทก์ทำนาในที่ดินทั้งแปลงโดยเช่าส่วนของจำเลยที่ 1ด้วย จำเลยเคยฟ้องขอแบ่งแยกที่พิพาทกับโจทก์ แต่ถอนฟ้องเสีย เพราะต้องใช้เวลานานมากแล้วจำเลยมาขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 แทน โดยปกปิดไม่แจ้งความจริงว่าโจทก์เช่าที่พิพาททำนาอยู่ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคสี่ในราคาเดียวกับจำเลยที่ 1 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ได้แจ้งการขายให้โจทก์ทราบแล้วแต่โจทก์ไม่แสดงความจำนงซื้อ โจทก์ไม่มีสิทธิซื้อนาคืน พิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 6009 โจทก์ทำนาในที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงโดยเช่าส่วนของจำเลยที่ 1 ด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ปัญหาที่โต้แย้งกันมีว่า ในการขายที่นาส่วนที่โจทก์เช่าทำอยู่นี้จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น กล่าวคือได้แจ้งเป็นหนังสือว่าจะขายที่พิพาทให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าทราบพร้อมทั้งราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงิน ตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วหรือไม่ โจทก์นำสืบปฏิเสธว่าไม่เคยได้รับแจ้งดังกล่าวส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีนายสดวก จันทรางกูร ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลบางตลาดมาเบิกความอ้างว่าเป็นผู้นำหนังสือแจ้งการขายที่พิพาทของจำเลยที่ 1 ไปให้โจทก์โดยมีจำเลยที่ 1 มาเบิกความสนับสนุนแต่เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุผลแล้ว ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2524 จำเลยที่ 1 ได้ไปร้องต่อนายอำเภอบางคล้าว่าโจทก์ไม่ชำระค่าเช่านาของ พ.ศ. 2524 ซึ่งนายอำเภอบางคล้าได้เปรียบเทียบ ในที่สุดโจทก์ตกลงชำระค่าเช่านาของปีการทำนา พ.ศ. 2524 เป็นเงิน 4,375 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 หลังจากนั้น 5 เดือนเศษ จำเลยที่ 1 ก็อ้างว่าได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์จะขายที่พิพาทให้โจทก์ทราบตามเอกสารหมาย ล.1 หากจำเลยที่ 1 ประสงค์เช่นนั้นจริงก็น่าจะได้มีการทำบันทึกกันต่อหน้านายอำเภอเหมือนเช่นกรณีไม่ชำระค่าเช่ามาแล้ว นอกจากจำเลยที่ 1 จะอ้างว่าได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์จะขายที่พิพาทไปให้โจทก์ทราบแล้วจำเลยที่ 1 ยังอ้างว่าได้บอกเลิกการเช่านาในที่ดังกล่าวผ่านกำนันในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมการเช่านาอีกด้วยแต่นายดอกรัก พิพิธจันทร์ กำนันตำบลบางตลาดไม่ได้เบิกความรับในเรื่องนี้แสดงว่าจำเลยที่ 1 ทราบวิธีการของกฎหมายในเรื่องนี้ดี จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะใช้วิธีส่งหนังสือแจ้งความประสงค์จะขายที่พิพาทให้โจทก์ทราบโดยให้นายสดวกซึ่งมีนามสกุลเดียวกับจำเลยที่ 3 เป็นผู้ไปส่งหนังสือให้โจทก์ นอกจากนี้หากจำเลยที่ 1ได้มีหนังสือแจ้งโจทก์ผู้เช่าตามขั้นตอนของกฎหมายจนโจทก์ผู้เช่าไม่ยอมซื้อที่พิพาทจริงแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่พิพาทให้กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินเฉพาะส่วนเอกสารหมาย จ.3 จำเลยที่ 1 ก็คงจะแจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดิน แต่กลับปรากฏตามเอกสารดังกล่าว ข้อ 5 ว่า จำเลยที่ 1 แจ้งว่าจำเลยที่ 1 ทำนาเองไม่มีผู้เช่าการแจ้งไม่ตรงความเป็นจริงดังกล่าวก็เพื่อให้มีการซื้อขายได้ ได้ความจากนายสมพร สั้นศรี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางคล้าว่าหากจำเลยที่ 1 แจ้งว่ามีการเช่านา จะต้องให้มีการแจ้งคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำตำบล ซึ่งมีกำนันเป็นประธานโดยตำแหน่งเพื่อประธานคณะกรรมการดังกล่าวจะได้แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบว่าผู้เช่าไม่ต้องการซื้อ และเก็บรวมไว้ในสารบบ การหลีกเลี่ยงไม่แจ้งความจริงดังกล่าวจำเลยที่ 1 ให้เหตุผลว่าเพราะได้บอกเลิกการเช่านาผ่านประธานคณะกรรมการควบคุมการเช่านาแล้ว เหตุผลของจำเลยที่ 1 นอกจากนายดอกรักกำนันตำบลบางตลาดจะไม่ได้เบิกความยอมรับดังได้กล่าวแล้วยังขัดกับเหตุผลของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่อ้างว่าได้แจ้งความประสงค์จะขายที่พิพาทกับโจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมซื้อข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าไม่ได้มีการแจ้งการขายที่พิพาทเป็นหนังสือกับโจทก์แล้วแต่น่าเชื่อว่าเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 เคยฟ้องขอแบ่งแยกที่พิพาทกับโจทก์เมื่อ พ.ศ. 2523แล้วจำเลยที่ 1 ได้ถอนฟ้องเสียเพราะอ้างว่าต้องใช้เวลานานมากดังที่จำเลยที่ 1 เบิกความจำเลยที่ 1 จึงหันมาใช้วิธีขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 แทนโดยปกปิดไม่แจ้งข้อความจริงว่าโจทก์เช่าที่พิพาททำนาอยู่มากกว่า ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรค 4 ในราคา 90,000 บาท ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่จำเลยที่ 1ผู้ให้เช่านาได้ขายให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้ซื้อ ดังที่ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.3 จำเลยที่ 2 ที่ 3 หาชอบที่จะนำสืบโต้แย้งราคาที่ซื้อขายกันเป็นอย่างอื่นไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา แต่ที่โจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยที่ 1ตามฟ้องของโจทก์ด้วย ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่ได้ขอบังคับถึงจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ได้ตามฎีกาโจทก์ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามโฉนดเลขที่ 6009 ตำบลบางตลาด อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้โจทก์และรับชำระค่าที่ดินเป็นเงิน 90,000 บาทจากโจทก์ หากไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสามศาลเป็นเงิน 2,000 บาท”

Share