คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2346/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 ของ ย. เป็นเอกสารซึ่ง ปลอมว่านายทะเบียนตำบลบ้านโฮ่งได้รับแจ้งย้ายออกของ ย. ว่าย้ายออกจากบ้านเลขที่ 190/7 หมู่ที่ 8 ในเขตอำเภอบ้านโฮ่ง ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 4/8 ถนนประชาราษฎร์แขวงบางซื่อเท่านั้น มิได้มีข้อความที่เป็นการก่อให้เกิดสิทธิอย่างใดแก่ ย. ในตัวเอกสารนั้น ใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนของ ย. ก็เป็นเพียงหลักฐานที่แสดงว่าเจ้าพนักงาน ได้รับคำขอของ ย. ไว้แล้วมิได้มีข้อความที่เป็นการก่อให้เกิดสิทธิอย่างใดแก่ ย.ในตัวเอกสารนั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นเอกสารสิทธิคงถือได้ว่าเป็นเอกสารราชการเท่านั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266, 84. เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266, 84 ตามที่จำเลยที่ 2ฎีกา ย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่1 ผู้มิได้ฎีกาด้วยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นเหตุในลักษณะคดี
ศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 84 รวม 31 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี แต่เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ที่แก้ไขใหม่ได้บัญญัติในเรื่องรวมโทษทุกกระทงสำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3ปีแต่ไม่เกิน10 ปีไว้ให้จำคุกทั้งสิ้นได้ไม่เกิน20ปี ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ที่เป็นคุณแก่จำเลย และความผิดของจำเลยต้องด้วยมาตรา 91(2) จึงให้รวมโทษทั้ง 31 กระทงเป็นจำคุกจำเลย 20 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมคือจำเลยที่ ๒ ใช้ให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินการให้คนต่างด้าวคือนายยุกและนายประสานรวมทั้งบุคคลอื่น ได้มีภูมิลำเนาปรากฏในทะเบียนสำมะโนครัวในราชอาณาจักรไทย เพื่อให้คนเหล่านั้นขอมีบัตรประจำตัวประชาชนได้ โดยจำเลยที่ ๑ ได้ใช้ให้นายนิวัติทำการปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ โดยนายนิวัติร่วมกับนายสุทัศน์ได้ร่วมกันเขียนข้อความเท็จลงในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.๑๗ บัตรทะเบียนคนไทย ท.ร.๑๕ และใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนจำนวน ๔๙ ฉบับ แต่ที่เจ้าพนักงานตรวจพบมีเพียงใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.๑๗ จำนวน ๓๑ ฉบับ แจ้งย้ายบุคคลที่ได้รับคำสั่งมาจากจำเลยที่ ๒รวม ๔๙ คน ความจริงบุคคลเหล่านี้ไม่มีตัวและไม่มีชื่อที่อยู่จริงในตำบลบ้านโฮ่งอำเภอบ้านโฮ่ง แต่ได้ทำเป็นแจ้งย้ายบุคคลเหล่านั้นออกจากตำบลบ้านโฮ่ง ไปยังที่ต่าง ๆ ในราชอาณาจักรไทย ทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ นอกจากนั้นจำเลยที่ ๒ ได้มอบบัญชีรายชื่อบุคคลต่าง ๆ ที่ประสงค์จะมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยให้แก่จำเลยที่ ๑ รวม ๓๓ ฉบับ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ใช้นายนิวัติทำการปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการโดยร่วมกับนายสุทัศน์กรอกข้อความเท็จลงในใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.๑๗ รวม ๓๑ ฉบับเพื่อย้ายบุคคลต่าง ๆ รวม ๔๙ คน ซึ่งมิได้มีชื่อในทะเบียนบ้านที่ย้ายออกแต่กรอกข้อความเท็จลงไปว่ามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้นแล้วแจ้งย้ายไปอยู่ที่ใหม่ เป็นการเสียหายแก่ราชการและจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นกำนันและนายทะเบียนตำบลบ้านโฮ่งร่วมกับนายสุทัศน์กระทำการปลอมใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.๑๗ จำนวน ๓๑ ฉบับดังกล่าว หลังจากนั้น จำเลยที่ ๑ได้มอบเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมเหล่านั้นให้แก่จำเลยที่ ๒ แล้วนำไปให้บุคคลอื่น ๔๙ คนทำการแจ้งย้ายไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๗, ๒๖๘, ๑๕๗, ๘๓, ๘๔,๙๑
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖ ประกอบด้วยมาตรา ๘๔ ลงโทษฐานปลอมเอกสารราชการตามมาตรา ๒๖๕ จำคุกกระทงละ ๒ ปี รวม ๓๐ กระทงเป็นจำคุก ๖๐ ปี และลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการเกี่ยวกับนายยุกซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวตามมาตรา ๒๖๖ จำคุก ๕ ปี อีกกระทงหนึ่ง รวมทั้งสิ้น ๓๑ กระทงเป็นจำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คนละ ๖๕ ปี ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ใช้ให้ทำการปลอมเอกสารแล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เอกสารใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.๑๗ ของนายยุกตามเอกสารหมาย จ.๑ (๒๒) และหมาย จ.๒๒ (๒) นั้น เป็นเอกสารซึ่งปลอมว่านายทะเบียนตำบลบ้านโฮ่งได้รับแจ้งย้ายออกของนายยุก แซ่ลี้ ว่าย้ายออกจากบ้านเลขที่ ๑๙๐/๗ หมู่ที่ ๘ ในเขตอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูนไปอยู่ยังบ้านเลขที่๔/๘ ถนนประชาราษฎร์ แขวงบางซื่อ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เท่านั้น มิได้มีข้อความใดที่เป็นการก่อให้เกิดสิทธิอย่างใดแก่นายยุกในตัวเอกสารนั้นเลย ใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนของนายยุกตามเอกสารหมาย จ.๒(๒)ก็เป็นเพียงหลักฐานที่แสดงว่าเจ้าพนักงานได้รับคำขอของนายยุกไว้แล้วเท่านั้น หาได้มีข้อความที่เป็นการก่อให้เกิดสิทธิอย่างใดแก่นายยุกในตัวเอกสารนั้นไม่จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเอกสารสิทธิ คงถือได้ว่าเป็นเอกสารราชการอย่างหนึ่งเท่านั้น จำเลยที่ ๒ คงมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารราชการตามมาตรา ๒๖๕เท่านั้น และปัญหาข้อกฎหมายดังว่านี้เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ ๑จะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ ๑ ด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๓, ๒๒๕
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๘๔ รวม ๓๑ กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ ๒ ปี โดยที่ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ ให้ยกเลิกมาตรา ๙๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญาเดิมและให้ใช้ข้อความใหม่แทน โดยบัญญัติในเรื่องรวมโทษทุกกระทงสำหรับกรณีความผิด กระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน ๓ ปี แต่ไม่เกิน ๑๐ปีไว้ว่า เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน ๒๐ ปี ดังนั้นจึงต้องใช้กฎหมายใหม่ส่วนที่เป็นคุณดังกล่าวแก่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓ และโดยที่ความผิดกระทงที่หนักที่สุดของจำเลยคดีนี้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๘๔ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ให้จำคุกไม่เกิน ๕ ปี กรณีจึงต้องด้วยมาตรา ๙๑(๒) ที่แก้ไขใหม่ซึ่งจะรวมโทษจำคุกทั้งสิ้นได้ไม่เกิน ๒๐ ปี จึงให้รวมโทษทั้ง ๓๑ กระทงของจำเลยที่ ๑ที่ ๒ เป็นจำคุกคนละ ๒๐ ปี ส่วนข้อหาฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๖, ๘๔ ให้ยกเสีย นอกจากที่แก้นี้แล้วคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share