แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามฟ้องของโจทก์ว่า ที่ดินที่จำเลยเข้าไปยึดถือ ครอบครอง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่อนวันที่ 4 มีนาคม 2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ใช้บังคับ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ทวิ
โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องด้วยว่า พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด แล้วจำเลยเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ และพนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนด แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญไม่ครบองค์ความผิด จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ไม่ได้
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2526)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๓ จำเลยซึ่งมิได้มีสิทธิครอบครอง และมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้างที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์หนองม่วง อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เป็นจำนวนเนื้อที่ ๒๐ ไร่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๙, ๑๐๘,๑๐๘ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ข้อ ๑๑ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ กับให้จำเลยและบริวารออกจากเขตที่ดินของรัฐที่จำเลยยึดถือ ครอบครองนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๙, ๑๐๘, ๑๐๘ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ข้อ ๑๑ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ จำคุก ๖ เดือนและปรับ ๒,๐๐๐ บาท รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ให้จำเลยและบริวารออกจากเขตที่ดินของรัฐที่จำเลยยึดถือครอบครองนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาด้วย ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา ๒๙, ๓๐
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เข้าไปยึดถือ ครอบครองที่ดินหนึ่งแปลง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลโคกม้า อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ประมาณ ๒๐ ไร่ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จำเลยเข้าไปยึดถือ ครอบครองแล้วแล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายต่อไปว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ว่าที่ดินที่จำเลยเข้าไปยึดถือ ครอบครอง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๙, ๑๐๘ ทวิ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองก่อนวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๙๖ ใช้บังคับ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวและสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙, ๑๐๘ นั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องด้วยว่า พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด แล้วจำเลยเพิกเฉยหรือไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ และพนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนด แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญไม่ครบองค์ความผิดจะลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน