คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมตามที่จำเลยให้การต่อสู้นั้นศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านหรือโต้เถียงเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยจะยกเป็นข้อฎีกาอีกหาได้ไม่
ตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 9 ให้กรรมการมัสยิดมีหน้าที่จัดการทั่วไปในกิจการและทรัพย์สินของมัสยิดในการดำเนินงานของคณะกรรมการมัสยิดให้เป็นไปตามเสียงข้างมากการฟ้องคดีก็เป็นการจัดการทรัพย์สินของมัสยิดอย่างหนึ่ง เมื่อกรรมการมัสยิดเสียงข้างมากมีมติให้ประธานกรรมการฟ้องคดีนี้ ประธานกรรมการมัสยิดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนมัสยิดโจทก์ได้โดยไม่จำต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอีก
ศาลพิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางการขอออกโฉนดที่พิพาทของโจทก์ได้ แต่จะให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลยว่าไม่ขัดขวางไม่ได้เพราะไม่ใช่กรณีที่ศาลบังคับจำเลยให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๕ คณะกรรมการของโจทก์ได้ประชุมมีมติให้นายบุญญาประธานกรรมการดำเนินคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าว ได้ขัดขวางโต้แย้งการขอออกโฉนดที่ดินเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ขอให้ห้ามจำเลยขัดขวางการออกโฉนดที่ดินนั้นหากจำเลยขัดขวางให้ถือคำพิพากษาของศาลแสดงการเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองที่ดินว่างเปล่าและปลูกเรือนมาประมาณ ๑๗ – ๑๘ ปี โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดรุกล้ำที่ดินที่จำเลยครอบครอง จำเลยจึงคัดค้าน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การฟ้องต้องให้คณะกรรมการไม่น้อยกว่าครึ่งของคณะกรรมการทั้งหมดมอบอำนาจให้ฟ้องไม่ใช่โจทก์ใช้สิทธิโดยหน้าที่ประธานกรรมการมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ห้ามจำเลยขัดขวางการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ หากขัดขวางให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาของจำเลยไม่ขัดขวาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมตามที่จำเลยให้การต่อสู้นั้น ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านหรือโต้เถียงเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยจะยกเป็นข้อฎีกาหาได้ไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องนั้น ได้ความว่ากรรมการมัสยิดโจทก์ ๑๑ คน ซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้ประชุมลงมติให้มัสยิดฟ้องคดีนี้ โดยให้นายบุญญาประธานกรรมการมีอำนาจดำเนินคดีแทนมัสยิด ดังนั้นกรรมการมัสยิดที่ลงมติให้ฟ้อง หามีความจำเป็นต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอีกไม่ เพราะตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. ๒๕๙๐ มาตรา ๗, ๙ ให้กรรมการมัสยิดมีหน้าที่จัดการทั่วไปในกิจการและทรัพย์สินของมัสยิดในการดำเนินงานของคณะกรรมการมัสยิดให้เป็นไปตามเสียงข้างมากการฟ้องคดีก็เป็นการจัดการทรัพย์สินของมัสยิดอย่างหนึ่ง เมื่อกรรมการมัสยิดเสียงข้างมากมีมติให้ประธานกรรมการฟ้องคดีนี้ นายบุญญาประธานกรรมการมัสยิดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนมัสยิดโจทก์ได้
แล้วฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ห้ามจำเลยขัดขวางการขอออกโฉนดที่พิพาทของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่จะให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลยว่า ไม่ขัดขวางไม่ได้ เพราะไม่ใช่กรณีที่ศาลบังคับจำเลยให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
พิพากษายืน แต่ไม่ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

Share