คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3661/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า โจทก์ครอบครองนาพิพาทแทน ซ. มาโดยตลอดแต่การที่โจทก์โต้แย้งว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ก่อนที่ ซ. จะขายนาพิพาทให้แก่จำเลยและเมื่อ ซ. ขายนาพิพาทให้จำเลยแล้ว โจทก์ได้มาคัดค้านการขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก ย่อมถือได้ว่าโจทก์โจทก์เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือนาพิพาทจากเจตนายึดถือแทน ซ. มาเป็นยึดถือเพื่อตน โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองนาพิพาทนั้น
เมื่อ ซ. และจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนสิทธิจาก ซ. ไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนมาซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองจึงหมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนมาซึ่งการครอบครองในนาพิพาทนั้น
คำขอท้ายฟ้องที่ขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจาก น.ส.3 ก ของนาพิพาทแล้วใส่ชื่อโจทก์แทน นั้น ศาลพิพากษาให้ไม่ได้ เพราะจำเลยไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมแต่อย่างใดที่จะต้องไปใส่ชื่อโจทก์หรือยินยอมให้ใส่ชื่อโจทก์ลงใน น.ส.3 ก ดังกล่าว เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องไปดำเนินการออก น.ส.3 ก ของโจทก์เอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์โดยได้รับการยกให้มาจากบิดา หลังจากนั้นโจทก์ได้ครอบครองทำกินเพื่อตนเองตลอดมา จำเลยกับพวกขับไล่โจทก์ให้ออกจากนาพิพาทโดยอ้างว่าซื้อมาจากผู้มีชื่อ โจทก์ไม่ยอม จำเลยจึงไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าโจทก์บุกรุก เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่าการกระทำของโจทก์ไม่เป็นความผิดจึงปล่อยโจทก์ แต่จำเลยยังขัดขวางการทำนาพิพาทของโจทก์อยู่เช่นเดิม โจทก์ให้จำเลยเลิกเกี่ยวข้องและให้ถอนชื่อจำเลยออกจาก น.ส.๓ ก. จำเลยไม่ยอมขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองนาพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องและเพิกถอนชื่อจำเลยออกจาก น.ส.๓ ก.ของนาพิพาทแล้วใส่ชื่อโจทก์แทน
จำเลยให้การว่า นายทอง วรครุธ เป็นพี่ชายโจทก์และเป็นสามีนางซูงวงหลังจากนายทองถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ นายสาบิดาโจทก์ได้ทำนิติกรรมแบ่งนาพิพาทให้แก่นางซูงวง นางซูงวงขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์นาพิพาทและครอบครองด้วยความสงบเปิดเผย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ นางซูงวงได้โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้โอนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนางซูงวงเป็นของจำเลย จำเลยจึงได้สิทธิในที่พิพาทโดยชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิเข้าทำนาพิพาท จำเลยแจ้งความต่อตำรวจ โจทก์รับว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับนาพิพาท แล้วมาฟ้องคดีนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองนาพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจาก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๑๒๘ และใส่ชื่อโจทก์แทน หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นาพิพาทเนื้อที่ ๗ ไร่ ๒ งาน ๘๐ ตารางวาเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินเนื้อที่ ๑๖ ไร่ ที่พระภิกษุสายกให้นายทองบุตรชาย ต่อมานายทองถึงแก่กรรม พระภิกษุสาจึงรับมรดกที่ดินดังกล่าวกลับคืนมา แล้วแบ่งให้นางซูงวงภริยาของนายทองเฉพาะส่วนที่เป็นนาพิพาทนี้ เมื่อนางซูงวงได้รับการแบ่งนาพิพาทมาแล้วได้นำไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๒ หลังจากนั้นนางซูงวงได้ขายนาพิพาทให้จำเลย และปรากฏว่านาพิพาทนี้โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำกินตลอดมา
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่นาพิพาทหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ยึดถือครอบครองทำกินในนาพิพาทมาโดยตลอด จึงน่าเชื่อว่าก่อนที่นางซูงวงจะขายนาพิพาทให้แก่จำเลยนางซูงวงได้มาแจ้งให้โจทก์ออกไปจากนาพิพาทจริง เพื่อว่าเมื่อขายนาพิพาทแล้วจำเลยจะได้เข้าครอบครองนาพิพาทได้ ดังนั้นเมื่อปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ว่า ขณะที่นางซูงวงมาแจ้งให้ออกไปจากนาพิพาทโจทก์ได้โต้แย้งว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ เคยทำนามาทุกปี โจทก์ไม่ยอมออกไปจากนาพิพาท จึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริง ทั้งในเวลาต่อมาหลังจากนางซูงวงขายนาพิพาทให้จำเลย นางซูงวงก็เบิกความรับว่า โจทก์ได้มาคัดค้านการขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมา ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จะฟังว่าโจทก์ครอบครองแทน กรณีก็ถือได้แล้วว่าโจทก์เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือนาพิพาทจากเจตนายึดถือแทนนางซูงวงมาเป็นยึดถือเพื่อตน โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองในนาพิพาท
ที่จำเลยฎีกาว่า แม้โจทก์จะได้เจตนาเปลี่ยนลักษณะยึดถือครอบครองนาพิพาทของตนแล้ว แต่การที่โจทก์กลับมารับรองสิทธิของจำเลยและรับว่าจะไม่ทำนาในที่พิพาทต่อไปที่ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๑ ต้องถือว่า โจทก์ได้เปลี่ยนเจตนาอีกครั้งหนึ่งมาเป็นยอมรับว่าได้ยึดถือแทนผู้ครอบครองต่อไปใหม่นั้น พิเคราะห์แล้วปรากฏตามเอกสารหมาย ล. ๑ ได้ความเพียงว่าโจทก์รับทราบว่านางซูงวงได้ขายนาพิพาทให้จำเลยแล้ว และในปีหน้าจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำนาพิพาทอีกต่อไปเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเพียงเท่านี้จะฟังว่าโจทก์แสดงเจตนาสละการครอบครองนาพิพาทและยึดถือที่นาพิพาทแทนจำเลยต่อไปหาได้ไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า นับแต่โจทก์แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะยึดถือครอบครองของนาพิพาทเป็นของโจทก์จนถึงวันฟ้องคดีนี้ยังไม่ครบ ๑ ปี โจทก์จึงยังหามีสิทธิในที่พิพาทโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ สิทธิอันแท้จริงย่อมเป็นของนางซูงวงเจ้าของเดิมและเมื่อจำเลยซื้อนาพิพาทโดยสุจริต จำเลยจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อโจทก์บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือนาพิพาทจากการยึดถือแทนนางซูงวงมาเป็นยึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครองนาพิพาทอันเป็นที่ดินมือเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๖๗ นางซูงวงเจ้าของเดิมผู้ถูกแย่งการครอบครอง และจำเลยผู้รับโอนสิทธิจากนางซูงวงโดยการซื้อมา จึงมีสิทธิเพียงฟ้องคดีเพื่อเอาคืนมาซึ่งการครอบครองภายในเวลา ๑ ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ วรรค ๒ เมื่อไม่ปรากฏว่านางซูงวงและจำเลยได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนมาซึ่งการครอบครองเช่นนี้ย่อมหมดสิทธิฟ้อง โจทก์จึงเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในนาพิพาทนั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีจึงไม่วินิจฉัยให้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีชอบแล้ว แต่ที่ให้ใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทนใน น.ส.๓ ก. เลขที่ ๔๑๒๘ ตามที่โจทก์ขอนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะจำเลยไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมแต่อย่างใดที่จะต้องไปใส่ชื่อโจทก์หรือยินยอมให้ใส่ชื่อโจทก์ลงใน น.ส.๓ ก. ดังกล่าว เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องดำเนินการออก น.ส. ๓ ก. ของโจทก์เองต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้ใส่ชื่อโจทก์แทนชื่อจำเลยลงใน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๑๒๘ นั้นเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share