คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าที่พิพาทได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ออกโฉนดเป็นส่วนสัดแล้วจำเลยไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเป็นผู้อาศัยอยู่ในที่พิพาท ประสงค์จะขอทำกินต่อไปอีก 5 ปี โจทก์ไม่ยินยอม คำแถลงของโจทก์จำเลยตามที่ศาลชั้นต้นจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าว มิใช่เป็นการแถลงข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ที่จะทำการเปรียบเทียบให้คู่ความได้ตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 20 เท่านั้น แต่เป็นการแถลงรับข้อเท็จจริงบางประการอันเป็นประเด็นข้อพิพาทเมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป ก็ย่อมมีอำนาจที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดีไปได้
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่ามีสิทธิเหนือพื้นดินในที่พิพาทโดยให้ค่าตอบแทนโจทก์เป็นรายปี เท่ากับเป็นเรื่องจำเลยเช่าที่พิพาทของโจทก์ เมื่อการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแม้จำเลยจะกล่าวอ้างว่าโจทก์ยอมให้อยู่ในที่พิพาทอีก 15 ปีก็ตามจำเลยก็ไม่อาจยกสิทธิที่เกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้ให้เช่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 การที่จำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้ร่วมกันออกเงินซื้อที่ดินโดยลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จำเลยขอเช่าทำบ่อเลี้ยงปลา ไม่ได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือ ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงแบ่งแยกที่ดินออกเป็นส่วนสัด และโจทก์ยังคงให้จำเลยเช่าที่พิพาทส่วนของโจทก์เพื่อเลี้ยงปลาแต่หลังจากแบ่งแยกที่ดินแล้วจำเลยไม่ชำระค่าเช่า จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยทำสัญญาเช่าที่ดินกับโจทก์ จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาทในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม และมีสิทธิเหนือพื้นดินที่พิพาทโดยจำเลยให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่โจทก์เป็นรายปี โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสิทธิเหนือพื้นดินของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาท ๒ ข้อคือ
๑. โจทก์ที่ ๓, ที่ ๔, ที่ ๕ และที่ ๖ มีอำนาจฟ้องหรือไม่
๒. จำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิดสิทธิของโจทก์หรือไม่เพียงใด
โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าที่พิพาทได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ออกโฉนดเป็นส่วนสัดแล้ว จำเลยไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเป็นผู้อาศัยอยู่ในที่พิพาทโดยใช้เป็นที่เลี้ยงปลามาประมาณ ๑๐ ปีแล้ว จำเลยประสงค์จะขอทำกินในที่พิพาทต่อไปอีก ๕ ปี เนื่องจากจำเลยได้ปรับปรุงที่ดินให้เป็นบ่อปลาใช้เงินทุนไปจำนวนมาก โจทก์ไม่ยินยอมที่จะให้จำเลยทำกินในที่พิพาทอีกต่อไป เพราะโจทก์จะเข้าไปทำกินในที่ดินส่วนของตน โจทก์ได้ส่งสำเนาทะเบียนบ้านเพื่อเป็นหลักฐานว่าโจทก์ที่ ๓, ที่ ๔, ที่ ๕ และที่ ๖ เป็นบุตรของนายประเสริฐ หมัดกอเซ็ม จำเลยไม่ค้าน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย และวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ ๓, ที่ ๔, ที่ ๕ และที่ ๖ มีอำนาจฟ้องคดี ที่พิพาทได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์เป็นส่วนสัดและออกโฉนดใหม่แล้ว ความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่างโจทก์จำเลยย่อมสิ้นสุดลง จำเลยไม่มีสิทธิเหนือพื้นดินในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม แม้การเช่าจะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ก็ฟ้องขับไล่จำเลยได้ และจำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาทเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในอัตราไร่ละ ๑๐๐ บาทต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่พิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วย โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน ๑๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดีไปไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และจำเลยแถลงแล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียแล้วพิพากษาคดีไปไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยไปตามประเด็นข้อพิพาทจนสิ้นกระแสความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำแถลงของโจทก์จำเลยตามที่ศาลชั้นต้นจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๔ นั้น มิใช่เป็นการแถลงข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ที่ศาลชั้นต้นจะทำการเปรียบเทียบให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในข้อที่พิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐ เท่านั้น แต่เป็นการแถลงรับข้อเท็จจริงบางประการอันเป็นประเด็นข้อพิพาท เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป ก็ย่อมมีอำนาจที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดีไปได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๔, ๑๘๓ เมื่อจำเลยยอมรับว่าที่พิพาทได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์และออกโฉนดเรียบร้อยแล้ว จำเลยไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ก็ต้องฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ มีอำนาจฟ้องตามประเด็นพิพาทข้อที่หนึ่งสำหรับประเด็นพิพาทข้อที่สองที่ว่าจำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิดสิทธิของโจทก์หรือไม่นั้นปรากฏว่าจำเลยให้การต่อสู้คดีว่ามีสิทธิเหนือพื้นดินในที่พิพาทโดยให้ค่าตอบแทนโจทก์เป็นรายปีซึ่งหมายความว่าเป็นเรื่องจำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์นั่นเอง เมื่อการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแม้จำเลยจะกล่าวอ้างว่าโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทอีก ๑๕ ปีก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจยกสิทธิที่เกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้ให้เช่าได้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ การที่จำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share