แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องในข้อหาฐานบุกรุกว่า จำเลยได้ใช้พลั่วขุดดินในลำรางซึ่งอยู่ติดกับที่นาของโจทก์ แล้วจำเลยเหวี่ยงดินที่ขุดเข้าไปในที่นาของโจทก์ และจำเลยได้ขนเอาหนามมากองไว้ในที่นาของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายทำนาไม่ได้ ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 เมื่ออ่านฟ้องโดยตลอดแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่นาของโจทก์โดยเจตนา เพื่อยึดถือการครอบครองที่นาของโจทก์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือจำเลยได้บุกรุกเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข คำฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันใช้พลั่วขุดดินในลำรางซึ่งอยู่ติดกับที่นาของโจทก์ แล้วจำเลยเหวี่ยงดินที่ขุดเข้าไปในที่นาของโจทก์กว้างประมาณ ๑ วา ยาวประมาณ ๑๕ วา และจำเลยได้ขนเอาหนามมากองไว้ในที่นาของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ ๑ ตารางวา ทำให้โจทก์เสียหายทำนาไม่ได้ การกระทำของจำเลยทำให้ที่นาของโจทก์เสียหาย ทำลายทำให้เสื่อมค่าหรือไร้ประโยชน์ และเป็นการบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๒, ๓๖๔, ๓๖๕(๑)(๒), ๓๕๘, ๘๓, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับมาเพียงข้อเดียวว่า ฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานบุกรุกชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ ที่โจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษนั้นแยกองค์ประกอบของความผิดออกได้เป็น ๒ ตอน ตอนแรกจะต้องมีองค์ประกอบความผิดดังนี้คือ ๑. เข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น และ ๒. โดยเจตนาเพื่อยึดถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมด หรือแต่บางส่วนส่วนตอนสองมีองค์ประกอบความผิดคือ ๑. เข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น และ ๒. โดยเจตนาเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข โจทก์บรรยายฟ้องในข้อหาฐานบุกรุกว่า”เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ เวลากลางวันจำเลยทั้งสองได้ใช้พลั่วขุดดินในลำรางซึ่งอยู่ติดกับที่นาของโจทก์ แล้วจำเลยเหวี่ยงดินที่ขุดเข้าไปในที่นาของโจทก์กว้าง ๑ วา ยาว ๑๕ วา และจำเลยทั้งสองได้ขนเอาหนามมากองไว้ในที่นาของโจทก์เป็นเนื้อที่ ๑ ตารางวา ทำให้โจทก์เสียหายทำนาไม่ได้” ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเมื่ออ่านฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าจำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปในที่นาของโจทก์โดยเจตนาเพื่อยึดถือการครอบครองที่นาของโจทก์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือจำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับข้อหานี้จึงไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) ส่วนความผิดตามมาตรา ๓๖๔ เป็นบทบัญญัติเรื่องการบุกรุกเคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนักงาน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่นา จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๖๔ เมื่อฟ้องโจทก์ไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๖๒ หรือมาตรา ๓๖๔ แล้ว จึงขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๖๕ ไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน