แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นตำรวจประจำการกองร้อย 4 กก. อารักขาและความปลอดภัยบก.สายตรวจปฏิบัติการพิเศษตำแหน่งลูกแถว ย่อมมีอำนาจสืบสวนคดีอาญา และมีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้โดยไม่ต้องมีหมายจับหรือหมายค้นในเมื่อเป็นความผิดซึ่งหน้าแม้ที่เกิดเหตุจะเป็นที่รโหฐาน การที่จำเลยไปพบจ.กับพวกกำลังเล่นการพนันในห้องชั้นบนบ้าน อันเป็นที่รโหฐานและจับกุม จ. กับพวกในข้อหาดังกล่าว ย่อมเรียกได้ว่าเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ เมื่อจำเลยเรียกและรับเงินจาก จ. แล้วปล่อยตัว จ. กับพวกโดยไม่ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 157 มาด้วย ก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการเป็นตำรวจประจำการ กองร้อย ๔ กก.อารักขาและความปลอดภัย บก.สายตรวจปฏิบัติการพิเศษ ตำแหน่งลูกแถวมีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ได้เข้าจับกุมนางจวนกับพวกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยได้เรียกเงินจำนวน ๕๐๐ บาท สำหรับตนเองจากนางจวน เพื่อจะปล่อยตัวไปโดยไม่นำส่งพนักงานสอบสวน และใช้เท้าเตะทำร้ายร่างกายนางจวนถูกบริเวณลำตัว แต่ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย นางจวนจึงได้มอบเงินจำนวน ๒๐๐ บาทให้จำเลยไป และจำเลยได้ปล่อยนางจวนพ้นจากการเป็นผู้ต้องหา อันเป็นการละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘, ๑๔๙, ๑๕๗, ๓๙๑, ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ ครั้นสืบพยานโจทก์ได้ ๓ ปากจำเลยขอให้การใหม่รับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๙, ๑๕๗ ลงโทษตามมาตรา ๑๔๙ ประกอบด้วยมาตรา ๙๐ ให้จำคุกและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ อีกกระทงหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา และลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ และมาตรา ๑๕๗
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับราชการเป็นตำรวจประจำการกองร้อย๔ กก.อารักขา และความปลอดภัย บก.สายตรวจปฏิบัติการพิเศษตำแหน่งลูกแถว ขณะเกิดเหตุจำเลยออกเวรไปพักผ่อนที่บ้านนางสง่าแม่ยายจำเลย นางสง่าไม่อยู่บ้านจำเลยเข้าใจว่านางสง่าไปเล่นการพนันที่บ้านเกิดเหตุจำเลยจึงตามไป เป็นบ้านของนายช่วยพบนางจวนกับพวกกำลังเล่นการพนันทายภาพพนันเอาทรัพย์สินกันอยู่ที่ชั้นบนบ้าน ซึ่งจำเลยเคยไปมาก่อน จำเลยเข้าไปในห้องที่เล่นการพนัน จับกุมนางจวนกับพวกในข้อหาเล่นการพนัน จำเลยพูดขู่เอาเงิน หยิบเงินที่นางจวนแล้วปล่อยตัวไป กับได้ทำร้ายนางจวนด้วย แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗ และมีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้โดยไม่ต้องมีหมายจับหรือหมายค้นในเมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า แม้ที่เกิดเหตุจะเป็นที่รโหฐานตามมาตรา ๙๒(๒) และมาตรา ๘๑(๑) ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉะนั้นการที่จำเลยไปที่บ้านเกิดเหตุตามที่จำเลยเคยไป เพื่อไปตามแม่ยายจำเลย ได้พบเห็นนางจวนกับพวกกำลังเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตในห้องชั้นบนบ้านอันเป็นที่รโหฐาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าที่จำเลยเห็นกำลังกระทำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๐ เมื่อจำเลยทำการจับกุมนางจวนกับพวกในข้อหาดังกล่าว ย่อมเรียกได้ว่าเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ การที่จำเลยเรียกรับเงินจำนวน ๒๐๐ บาทจากนางจวนแล้วปล่อยตัวนางจวนกับพวกไปไม่นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี จึงถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินสำหรับตนเองเพื่อไม่กระทำการตามตำแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙ ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ มาด้วยก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกบทหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ ให้ลงโทษจำคุก นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์