คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1384/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้เจ้าหนี้จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งตัดสินหลังวันพิทักษ์ทรัพย์แต่คำพิพากษานั้นได้แสดงถึงมูลหนี้เดิมอยู่แล้วว่าเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ย่อมถือได้ว่าหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้ขอรับชำระดังกล่าวมูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้อาจขอรับชำระหนี้ได้ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2525)

ย่อยาว

ธ. เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาและตามเช็ครวม ๗ รายการเป็นเงิน ๑,๐๕๒,๔๓๒.๒๒ บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีความเห็นว่าเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้รวม ๔๓๗,๘๑๐.๒๖ บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วอนุญาตให้เจ้าหนี้ผู้รับชำระหนี้ ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้รวม ๕ รายการเป็นเงิน ๘๐๗,๕๖๔.๔๗ บาท
เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ฎีกาขอให้ได้รับชำระหนี้ตามรายการที่ ๓ และที่ ๔ ด้วยเต็มจำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า หนี้รายการที่ ๓ และรายการที่ ๔ นี้ ธนาคารเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ วรรคสอง โดยมีบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินฯว่า หนี้รายการที่ ๓ เป็นหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๑๕๒๘/๒๕๒๐ รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๒๐ อันเป็นวันพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดรวมเป็นเงิน ๑๑๒,๘๒๗ บาท ๑๔ สตางค์ หนี้รายการที่ ๔ เป็นหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๙๘๗/๒๕๒๐ รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคดีถึงวันพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดรวมเป็นเงิน ๑๐๑,๙๓๗ บาท ๒๘ สตางค์และระบุถึงหลักฐานประกอบหนี้คือสำเนาคำพิพากษาคดีทั้งสองนั้น ซึ่งศาลแพ่งได้พิพากษาเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ และวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ตามลำดับและตามคำพิพากษาทั้งสองคดีดังกล่าวปรากฏว่า มูลแห่งหนี้ที่ฟ้องร้องเกิดจากเจ้าหนี้ได้รับซื้อเช็คพิพาทซึ่งลูกหนี้กับพวกเป็นผู้สลักหลังรวม ๔ ฉบับ โดยเช็คทั้งหมดถึงกำหนดชำระเงินในเดือนกันยายน ๒๕๑๘ และตุลาคม ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นวันก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ แต่ศาลได้พิพากษาคดีทั้งสองหลังจากวันลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าว ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้โดยแสดงหลักฐานว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษา มิได้ถือเอามูลหนี้เดิมเป็นข้ออ้างในการขอรับชำระหนี้ และตามคำขอรับชำระหนี้ก็ไม่ได้ระบุถึงหลักฐานประกอบมูลหนี้เดิม จึงเอามูลหนี้เดิมของเจ้าหนี้มาเป็นเหตุให้ได้รับชำระหนี้ไม่ได้ หนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระดังกล่าวจึงเป้นหนี้ที่มิได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๘๔ เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิของรับชำระหนี้ทั้งสองรายนี้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้จึงมีว่า การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์มาขอรับชำระหนี้ แต่มิได้ร้องขอรับชำระหนี้โดยอาศัยมูลหนี้เดิมว่ามูลหนี้เดิมเกิดขึ้นก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จะให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้เจ้าหนี้จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งตัดสินหลังวันพิทักษ์ทรัพย์ แต่คำพิพากษานั้นก็แสดงถึงมูลหนี้เดิมอยู่แล้วว่าเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ดังนี้ย่อมถือได้ว่าหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้ขอรับชำระทั้งสองรายนี้มูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ได้ตามมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิของรับชำระหนี้สองรายนี้นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้รายการที่ ๓ จำนวน๑๑๒,๘๒๗ บาท ๑๔ สตางค์ และหนี้รายการที่ ๔ จำนวนเงิน ๑๐๑,๙๓๗ บาท ๒๘ สตางค์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share