คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ใส่ชื่อจำเลยในตอนต้นของคำฟ้องว่า”สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ” ตามชื่อที่จดทะเบียนพาณิชย์ไว้ แต่ในคำบรรยายฟ้องได้กล่าวให้ทราบชัดแล้วว่าโจทก์ฟ้องบริษัท ด. กับบริษัท อ. ซึ่งเป็นนิติบุคคล อยู่ในประเทศเดนมาร์ก. และมีสำนักงานสาขาสำหรับดำเนินธุรกิจซึ่งบริษัททั้งสองทำร่วมกันในประเทศไทยโดยใช้ชื่อว่า “สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ ” เป็นจำเลยดังนี้ แม้ “สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ ” จะมิได้เป็นนิติบุคคล ก็ไม่เป็นเหตุให้ไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลย ได้
บริษัท ย. เป็นผู้สั่งสินค้าเข้ามาจากประเทศฟิลิปปินส์และได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ แม้ตามใบตราส่งจะระบุให้ธนาคารเป็นผู้รับสินค้า แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าหากวินาศภัยมีขึ้นแก่สินค้าที่เอาประกันภัยนั้น บริษัท ย. จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อธนาคารประการใดเลยแล้ว ก็ต้องถือว่าบริษัท ย. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้
ข้อความจำกัดความรับผิดในใบตราส่งที่พิมพ์เพิ่มเติมขึ้นจากแบบพิมพ์เดิมโดยไม่ปรากฏการรับรู้จากผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จะฟังว่าผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตกลงด้วยในข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งหาได้ไม่ และเมื่อไม่อาจใช้ยันผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง ก็ย่อมใช้ยันผู้รับตราส่ง ซึ่งได้รับสิทธิของผู้ส่งมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 ตลอดจนผู้รับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยไว้จากบริษัท ย. สำหรับสินค้าที่มีผู้ส่งมาให้บริษัท ย. จำเลยเป็นผู้รับขนส่งสินค้าดังกล่าว ปรากฏว่าสินค้าสูญหายและขาดจำนวนไปในระหว่างการขนส่งของจำเลย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับตราส่ง จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลย ขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นเพียงตัวแทนของผู้รับขนส่งสินค้ารายพิพาท บริษัท ย.ไม่ใช่ผู้รับตราส่งหรือผู้ส่งไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้า โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนไปโดยรู้อยู่ว่าไม่ต้องผูกพันจึงไม่อาจรับช่วงสิทธิบริษัท ย. มาฟ้องคดีนี้การรับขนส่งสินค้ารายพิพาทผู้รับขนส่งจำกัดความรับผิดไว้เพียงจำนวนหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ใช่นิติบุคคลโจทก์ไม่อาจฟ้องจำเลยได้นั้น เห็นว่าโจทก์ใส่ชื่อจำเลยในตอนต้นของคำฟ้องว่า “สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ” ตามชื่อที่จดทะเบียนพาณิชย์ไว้ แต่ในคำบรรยายฟ้องโจทก์ได้กล่าวให้ทราบชัดแล้วว่า “จำเลย”หมายถึงบริษัทใด ดำเนินธุรกิจในทางใด จดทะเบียนพาณิชย์ไว้ในประเทศไทยโดยใช้ชื่อว่าอะไร สำนักงานตั้งอยู่แห่งใด เมื่อคำฟ้องของโจทก์เป็นที่เข้าใจได้แล้วว่า โจทก์ฟ้องบริษัท ด. กับบริษัท อ. ซึ่งเป็นนิติบุคคลอยู่ในประเทศเดนมาร์ก และมีสำนักงานสาขาสำหรับดำเนินธุรกิจซึ่งบริษัททั้งสองทำร่วมกันในประเทศไทยโดยใช้ชื่อว่า “สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ”เป็นจำเลย ดังนี้แม้ “สายเดินเรือเมอสก์ สาขากรุงเทพฯ” จะมิได้เป็นนิติบุคคลก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยได้
ที่จำเลยฎีกาว่า บริษัท ย. ไม่มีส่วนได้เสียในสินค้าที่เอาประกันภัยเพราะผู้รับสินค้าเป็นธนาคาร มิใช่บริษัท ย. นั้น บริษัท ย. เป็นผู้ส่งสินค้าตามฟ้องเข้ามาจากประเทศฟิลิปปินส์ และได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์แม้ตามใบตราส่งจะระบุให้ธนาคารเป็นผู้รับสินค้า แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าหากวินาศภัยมีขึ้นแก่สินค้าที่เอาประกันภัยนั้น บริษัท ย. ไม่ต้องรับผิดชอบต่อธนาคารนั้น ๆ ประการใดแล้ว ก็ต้องถือว่าบริษัท ย. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้
ส่วนประเด็นที่จำเลยฎีกาเรื่องข้อจำกัดความรับผิดนั้น แม้ใบตราส่งสินค้ารายพิพาทจะมีข้อความจำกัดความรับผิดไว้ แต่ข้อความนี้เป็นข้อความที่พิมพ์เพิ่มเติมขึ้นจากแบบพิมพ์เดิม โดยไม่ปรากฏการรับรู้ของผู้ส่งในการเพิ่มเติมข้อความดังกล่าว จะฟังว่าผู้ส่งหรือผู้ตราส่งตกลงด้วยในข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งหาได้ไม่ เมื่อข้อจำกัดความรับผิดนั้นไม่อาจใช้ยันผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง ก็ย่อมใช้ยันผู้รับตราส่งซึ่งได้รับสิทธิของผู้ส่งมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๒๗ตลอดจนโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งไม่ได้
พิพากษายืน

Share