คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2537/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขายฝากที่ดินของโจทก์ไว้กับจำเลย ครบกำหนดเวลาไถ่แล้ว จำเลยทำสัญญาว่าจะแบ่งที่ดินคืนให้โจทก์บางส่วนเพื่อมนุษยธรรม สัญญาดังกล่าวไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เป็นสัญญาให้หรือคำมั่นจะให้ทรัพย์สิน เมื่อไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 526 สัญญานั้นก็ไม่ผูกพันจำเลย โจทก์จะอาศัยสัญญาดังกล่าวมาฟ้องบังคับให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขายฝากที่ดินของโจทก์ไว้กับจำเลยในราคา ๒๕,๖๐๐ บาท กำหนดไถ่คืนในเวลา ๔ เดือน หลังจากสัญญาขายฝากสิ้นกำหนดลง โจทก์ติดต่อขอที่ดินบางส่วนคืน จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากับโจทก์ว่า จำเลยจะขอเอาที่ดินขายฝากเพียง ๔ คูหากว้างคูหาละ ๕ เมตร ลึกไปข้างหลัง ๔๐ เมตร นอกจานั้นคืนให้แก่โจทก์โดยจำเลยตกลงจะรังวัดแบ่งแยกโอนทะเบียนให้โจทก์ในภายหลัง แต่มิได้แบ่งให้โจทก์ตามสัญญากลับขอให้ทางการออกโฉนดที่ดินทั้งหมดให้แก่จำเลย โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินและจดทะเบียนโอนให้โจทก์ตามสัญญา
จำเลยให้การว่า สัญญาที่โจทก์ฟ้องเป็นเพียงคำมั่นจะให้ที่ดินแก่โจทก์เพื่อศีลธรรมและมนุษยธรรมเท่านั้น เป็นการให้โดยเสน่หา เอกสารดังกล่าวยังไม่จดทะเบียนโจทก์ไม่มีอำนาจบังคับจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาพิพาทเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ใช่คำมั่นจะให้ดังจำเลยต่อสู้ พิพากษาให้จำเลยจัดการรังวัดแบ่งแยกที่ดินและจดทะเบียนโอนให้โจทก์ตามสัญญานั้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้มีใจความว่าที่พิพาทที่ขายฝากขาดสิทธิการไถ่ถอนตกเป็นของจำเลยแล้ว เจ้าของที่ดินคือจำเลยยอมแบ่งที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ โดยจำเลยแบ่งเอาที่ดินไว้เฉพาะด้านหน้าติดถนน ๔ คูหา กว้างคูหาละ ๕ เมตร ลึก ๔๐ เมตร ด้านหลังยาวเท่ากับด้านหน้า ที่ดินส่วนที่เหลือยกให้กลับคืนแก่โจทก์ทั้งหมดเพื่อมนุษยธรรมที่ได้เป็นเจ้าของมาแต่ดั้งเดิม ค่าธรรมเนียมในการไปจดทะเบียนโอนแบ่งแยกรังวัดและค่าป่วยการเจ้าพนักงานที่ดินคู่สัญญาชำระคนละครึ่ง ดังนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ สัญญาประนีประนอมนั้นคือสัญญาซึ่งคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ตามข้อตกลงดังกล่าวไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยมีข้อพิพาทอันใดต่อกันเกี่ยวกับที่ดินแปลงพิพาท โจทก์ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียวจากข้อตกลงนี้ ส่วนจำเลยไม่ได้ประโยชน์อันใดจากโจทก์เลย และในฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าการทำสัญญาดังกล่าวเพื่อระงับข้อพิพาทอันใด สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความเพราะมิได้ระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วย ต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คงเป็นการให้ทรัพย์สินหรือคำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินเท่านั้น การให้หรือคำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินจะต้องได้ทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะบังคับกันได้ตามมาตรา ๕๒๖ แต่สัญญาพิพาทมิได้จดทะเบียนจึงไม่มีผลผูกพันจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิอาศัยสัญญาดังกล่าวมาฟ้องบังคับให้จำเลยรังวัดแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share