คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อที่ว่า ตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้อง ไม่มีวันเดือนปีที่ทำสัญญาดังที่โจทก์บรรรยายในฟ้อง จะรับฟังว่า โจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือไม่ได้นั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ และไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
ตามสัญญากู้ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ เพียงแต่กำหนดไว้ว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยผู้ให้กู้ทุกเดือน โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ร้อยละ 15 ต่อปี ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ประเด็นข้อนี้จึงยุติไปแล้ว จำเลยจะหยิบยกขึ้นฎีกาอีกได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ๔๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๐๙ สัญญาจะให้ดอกเบี้ยชั่งละ ๑ บาทต่อเดือน ครบกำหนดชำระแล้ว จำเลยไม่ชำระจึงขอให้จำเลยชำระเงินต้น ๔๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยที่ค้างถึงวันฟ้องอีก ๑๒,๘๐๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากเงินต้น ๔๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้และไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้อง แต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ จำเลยเคยกู้เงินโจทก์ ๔๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี และจำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ให้โจทก์ไปครบถ้วนแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปตามฟ้องจริง แต่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญากู้ เพียงแต่กำหนดไว้ว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ทุกเดือนไป จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแต่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไปเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๐๙ แต่ตามสำเนาสัญญากู้ฟ้องไม่ปรากฏว่ามีวันเดือนปี ที่ทำสัญญากู้ จึงรับฟังว่าโจทก์หลักฐานการกู้เป็นหนังสือไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนี้จำเลยมิได้ต่อสู้คดีไว้ และไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป ตามคำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปี จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาเห็นว่า ดอกเบี้ยเกิดขึ้นจากสัญญา และจะต้องระบุอัตราว่าจะเสียดอกเบี้ยกันอย่างไร ทั้งนี้ ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ แต่ปรากฏว่าสัญญากู้รายนี้ ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ เพียงแต่กำหนดไว้ว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ทุกเดือนไป ซึ่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ บัญญัติไว้ว่าให้ใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปี ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จึงเป็นการชอบแล้ว ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นข้อนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วแต่ประการใด ประเด็นข้อนี้จึงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะหยิบยกขึ้นฎีกาอีกหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share