คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องด้วยว่า หากโจทก์จะให้ผู้อื่นเช่าในปัจจุบันได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่า เดือนละ 6,000 บาท ซึ่งโจทก์ใข้เป็นเกณฑ์คำนวณในการเรียกร้องเอาค่าเสียหาย จำนวนเงิน 6,000 บาท ซึ่งโจทก์ใช้เป็นเกณฑ์ คำนวณในการเรียกร้องเอาค่าเสียหาย จำนวนเงิน 6,000 บาท นั้นก็ไม่ใช่ค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นคำฟ้อง เพราะเป็นแต่อาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้นเมื่อศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย คู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในข้อที่ว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา มีข้อเท็จจริงพอให้วินิจฉัยปัญหานี้ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานที่เหลือต่อไป ดังที่จำเลยขอสืบ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยต่อไปนั้นชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังไม่น่าจะฟังเป็นยุติได้แล้ว สมควรให้จำเลยได้เสนอพยานหลักฐานต่อไป ดังนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานเท่าที่ได้สืบกันไปแล้วเป็นการเพียงพอที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้ได้แล้ว จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม
สามีโจทก์ทำหนังสือให้โจทก์มีข้อความว่า สามีโจทก์ยินยอมอนุญาตให้โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลแพ่ง การให้ความยินยอมอนุญาตให้โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลแพ่ง การให้ความยินยอมเช่นนี้ย่อมมีความหมายว่ายินยอมตลอดถึงการแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่น ๆ เกี่ยวกับคดีนั้นด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์มีกำหนด ๑ ปี อัตราค่าเช่าเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท ก่อนครบกำหนดโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวทันที่ครบกำหนดอายุสัญญาเช่า เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่า จำเลยกับบริวารยังอยู่เรื่อยมาตึกแถวพิพาทอยู่ในทำเลการค้า หากโจทก์ให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่า เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปจากตึกแถวดังกล่าว
จำเลยให้การว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว โจทก์จำเลยตกลงเช่ากันต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายนัยแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๐
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าตามสัญญาเช่าเดือนละ ๔๐๐๐ บาท ซึ่งถือได้ว่า มีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องด้วยว่า หากโจทก์จะให้ผู้อื่นเช่าในปัจจุบันได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่า เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์ใข้เป็นเกณฑ์คำนวณในการเรียกร้องเอาค่าเสียหาย จำนวนเงิน ๖,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์ใช้เป็นเกณฑ์ คำนวณในการเรียกร้องเอาค่าเสียหาย จำนวนเงิน ๖,๐๐๐ บาท นั้นก็ไม่ใช่ค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นคำฟ้อง เพราะเป็นแต่อาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้นเมื่อศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย คู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘
ฎีกาข้อแรกของจำเลยเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยขอสืบพยานจำเลยอีก ๓ ปากในข้อที่ว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา มีข้อเท็จจริงพอให้วินิจฉัยปัญหานี้ได้โดยไม่จำต้องสืบพยานที่เหลือต่อไป ดังที่จำเลยขอสืบ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยต่อไปนั้นชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังไม่น่าจะฟังเป็นยุติได้แล้ว ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย สมควรให้จำเลยได้เสนอพยานหลักฐานต่อไป ฎีกาจำเลยดังนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่า พยานหลักฐานเท่าที่ได้สืบกันไปแล้วเป็นการเพียงพอที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้ได้แล้ว จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
จำเลยฎีกาว่า เมื่อสามีโจทก์มิได้ยินยอมอนุญาตไว้โดยชัดแจ้ง โจทก์ทำไม่มีอำนาจแต่งตั้งทนายความในฟ้องคดีนี้ ข้อนี้ปรากฏว่านายสิทธิ์สามีโจทก์ทำหนังสือหมาย จ.๒ ให้โจทก์ ความว่า นายสิทธิ์ยินยอมอนุญาตให้โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลแพ่ง การให้ความยินยอมอนุญาตให้โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลแพ่ง อันการให้ความยินยอมเช่นนี้ย่อมมีความหมายว่ายินยอมตลอดถึงการแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่น ๆ เกี่ยวกับคดีนั้นด้วย
พิพากษายืน

Share