คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบ โดยมิได้กำหนดประเด็นค่าเสียหายไว้ซึ่งเป็นการกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบขาดตกบกพร่องเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของตนโดยการคัดค้านหรือโต้แย้ง เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งทักท้วงประเด็นและหน้าที่นำสืบก็ต้องเป็นไปตามที่ศาลกำหนด
การที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นเรื่องค่าเสียหายไว้ แต่กลับพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเกี่ยวกับค่าเสียหายให้ จึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นที่กำหนดไว้ไม่ชอบด้วยมาตรา 183 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และแม้ปัญหาข้อนี้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาและมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายสุพลจำนองที่ดินพิพาทไว้กับโจทก์ ระหว่างจำนองจำเลยโดยความยินยอมของนายสุพลได้ปลูกสร้างอาคารคอนกรีต ๒ คูหา ลงในที่ดินพิพาท และจำเลยอาศัยอยู่ในอาคารดังกล่าว ต่อมาโจทก์ฟ้องบังคับจำนองที่พิพาท คดีถึงที่สุดที่ดินพิพาทตกเป็นของโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยเกี่ยงให้โจทก์ใช้ราคาอาคารสิ่งปลูกสร้างด้วยจำนวนเงินสูงเป็นการโก่งราคา โจทก์ยอมชดใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นเท่ากับราคาก่อสร้างเดิมเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท และบอกกล่าวเลิกการให้อาศัยแล้ว จำเลยเพิกเฉย เป็นการละเมิด โจทก์ต้องเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ได้รับคำปฏิเสธของจำเลย ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท พร้อมทั้งรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไป และทำที่ดินให้คืนสภาพเดิม หากจำเลยไม่รื้อถอน ให้จำเลยรับเงินค่าแห่งที่ดินพิพาทเพิ่มขึ้นเพราะการปลูกสร้างอาคาร ๕๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์ และให้อาคารเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะเลิกละเมิดตามฟ้อง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่พิพาทอยู่ติดกับที่ดินของจำเลย จำเลยได้ซื้อที่พิพาทรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างจากนางนิตยาภรรยานายสุพลราคา ๑๐๐,๐๐๐ บาท คนทั้งสองอนุญาตให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเดิมออกและให้จำเลยปลูกสร้างตึกแถวขึ้นใหม่รวม ๓ คูหาลงในที่พิพาทและในที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดต่อกัน ต่อมาจำเลยขายตึกแถวไป ๑ คูหาเป็นเงิน ๑๘๕,๐๐๐ บาท ส่วนตึกแถวอีก ๒ คูหาในที่พิพาทค่าปลูกสร้างเป็นเงิน ๔๑๐,๐๐๐ บาท และปลูกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยเป็นเนื้อที่กว้าง ๑ เมตร ยาว ๑๙ เมตร ซึ่งมีราคา ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๔๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ได้ขออาศัยปลูกตึกแถว ไม่ได้ละเมิดสิทธิโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้พิพากษายกฟ้องและบังคับให้โจทก์ใช้ค่าที่พิพาทที่เพิ่มขึ้นกับใช้ราคาที่ดินของจำเลยรวมเป็นเงิน ๔๒๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยตามฟ้องแย้ง หรือมิฉะนั้นขอให้โจทก์ขายที่พิพาทรวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยรื้อถอนไปให้จำเลยในราคา ๘๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยปลูกสร้างอาคารในที่พิพาทโดยอาศัยผู้จำนอง เมื่อโจทก์บอกกล่าวเลิกการให้อาศัย จำเลยไม่ยอมออกไป โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง อาคาร ๒ คูหาในที่พิพาทราคา ๔๑๐,๐๐๐ บาท เกินความเป็นจริงราคาที่แท้จริงไม่ต่ำกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท และไม่เกินกว่า ๖๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยอ้างว่าขายอาคาร ๑ คูหา ราคา ๑๘๕,๐๐๐ บาท ก็ไม่เป็นความจริง โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาตามมูลหนี้ ๑๕๐,๐๐๐ บาท หากจะขายในขณะนี้ราคาไม่น้อยกว่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ราคา ๘๐,๐๐๐ บาทดังที่จำเลยอ้าง เมื่อจำเลยไม่อาจรื้อถอนอาคารออกไป โจทก์ขอรับเอาโดยคิดค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างอาคารให้แก่จำเลย ๕๐,๐๐๐ บาท กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๐ ที่กำหนดเปิดช่องให้ผู้เป็นเจ้าของที่ดินแต่ฝ่ายเดียวที่จะเรียกให้จำเลยผู้ปลูกสร้างอาคารเป็นผู้ซื้อที่ดินในราคาตลาดไม่น้อยกว่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับโจทก์ขายที่พิพาทให้จำลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นว่า
๑. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
๒. โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทหรือไม่
๓. โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ และ
๔. โจทก์จะต้องรับซื้อตึกของจำเลยที่ปลูกอยู่ในที่พิพาทหรือไม่เพียงใด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทโฉนดที่ ๒๓๗ ของโจทก์ โดยให้โจทก์ชดใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นให้แก่จำเลยเป็นจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท กับให้โจทก์ชดใช้ที่ดินซึ่งตึกแถวดังกล่าวปลูกคร่อมที่ดินจำเลยแก่จำเลยเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๐,๐๐๐ บาท แล้วให้ตึกแถวและที่ดินดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๙ จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากตึกแถวข้างต้น ให้ยกฟ้องแย้งในส่วนที่ศาลไม่พิพากษาให้
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์ชดใช้ค่าแห่งที่พิพาทที่เพิ่มขึ้นเพราะจำเลยปลูกสร้างตึกแถว ๒ คูหา เป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เห็นว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์พิเคราะห์แล้วตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ศาลชั้นต้นได้ทำการชี้สองสถานและกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบ โดยมิได้กำหนดประเด็นค่าเสียหายไว้ ซึ่งเป็นการกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบขาดตกบกพร่อง ดังนี้ หากศาลกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบคลาดเคลื่อนหรือขาดตกบกพร่อง ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของตน โดยการคัดค้านหรือโต้แย้งทักท้วงให้ศาลแก้ไขเสียให้ถูกต้อง เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งทักท้วง ประเด็นและหน้าที่นำสืบก็ต้องเป็นไปตามที่ศาลกำหนดไว้ การที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบค่าเสียหายไว้ แต่พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเกี่ยวกับค่าเสียหายไปเช่นนี้ เป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นที่ศาลกำหนดไว้ไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๘๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้ปัญหานี้จำเลยมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาและมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียกร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
ที่จำเลยฎีกาว่าค่าฤชาธรรมเนียมศาลชั้นต้นควรให้เป็นพับไปทั้งสองฝ่ายจึงจะชอบตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องเสียค่าเสียหายให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share