คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัท ส. ตามสัญญาตั้งตัวแทน ต่อมาบริษัท ส.บอกเลิกสัญญาและฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.ให้ชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเป็นตัวแทน ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.ต่อสู้คดีหลายข้อ ข้อหนึ่งต่อสู้ว่า บริษัท ส.ยังไม่ได้คิดบัญชีค่านายหน้าและชำระค่านายหน้าให้ ในคดีดังกล่าว บริษัท ส. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.คิดบัญชีแล้วหักค่านายหน้าและค่าป่วยการอื่นๆ จากจำนวนหนี้ที่ฟ้อง ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.จึงมาฟ้องเรียกค่านายหน้าตามสัญญาตั้งตัวแทนฉบับเดิม โดยอ้างว่า เพิ่งรู้ว่ายังมีค่านายหน้าอีกจำนวนหนึ่งซึ่งบริษัท ส.ต้องชำระให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.ตามสัญญาดังกล่าว ดังนี้ แสดงว่าสิทธิเรียกค่านายหน้ากันได้หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด เป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับประเด็นซึ่งได้วินิจฉัยถึงที่สุดไปแล้วในคดีก่อนเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนขายรถยนต์ของจำเลยในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ตามสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในสัญญาข้อ ๘ มีว่าในกรณีที่จำเลยเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์ของจำเลยเข้าไปในเขตที่โจทก์เป็นผู้แทนจำหน่าย (คือในเขตจังหวัดนครสวรรค์) จำเลยยอมให้ค่านายหน้าแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ ๕ แต่โจทก์จะต้องปฏิบัติตามการลงนามเป็นผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อของลูกค้าต่อบริษัทจำเลย และทำหน้าที่ติดตามทวงถามเก็บเงินค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทุกราย และจำเลยได้ตกลงตามสัญญาข้อ ๙ ว่าในกรณีที่จำเลยจำหน่ายรถยนต์ ตามที่ระบุในสัญญาตัวแทนให้เอกชน ในเขตที่โจทก์เป็นผู้แทนจำหน่ายโดยโจทก์ไม่ปฏิบัติการอย่างใดๆ ตามข้อ ๘ ทั้งสิ้น โจทก์จะได้รับค่านายหน้าเพียงร้อยละ ๕๐ ของค่านายหน้าที่ได้กำหนดไว้สัญญาต่อท้าย โจทก์ได้เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของจำเลยตามสัญญาจนถึงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๔ จำเลยจึงได้บอกเลิกการเป็นตัวแทนของโจทก์นับแต่วันทำสัญญาจนถึงวันบอกเลิก จำเลยได้ขายรถยนต์ชนิดต่างๆ ให้เอกชนในเขตจังหวัดนครสวรรค์ อันเป็นเขตที่จำเลยได้แต่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้แทนจำหน่ายโดยขายตรงจากบริษัทจำเบยโดยโจทก์ไม่ต้อง เป็นผู้ค้ำประกัน และไม่ต้องติดตามเก็บเงินค่าเช่าซื้อ จำเลยจะต้องจ่ายค่านายหน้าให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๓๗๒,๐๐๐ บาท โจทก์เพิ่งทราบเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เพราะจำเลยปิดบังไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ ขอให้จำเลยชำระค่านายหน้า ๓๗๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๗๓๕๘/๒๕๑๘ ของศาลแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และฟังว่าจำเลยจำหน่ายรถยนต์ของจำเลยเข้าไปในเขตที่โจทก์เป็นตัวแทน คิดนายหน้าที่โจทก์จะได้รับรวม ๙๐,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยชำระค่านายหน้าให้โจทก์เป็นเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๗๓๕๘/๒๕๑๕ ของศาลแพ่งหรือไม่นั้น ปรากฏว่าในคดีนั้นบริษัทสหไทยไฟแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ได้ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดรถยนต์นครสวรรค์โจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยบรรยายฟ้องมีใจความว่า ห้างโจทก์กับบริษัทจำเลยตกลงกันให้ห้างโจทก์เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทจำเลยในเขตนครสวรรค์ได้ทำสัญญากำหนดสิทธิหน้าที่กันไว้ตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๐ เมื่อเลิกสัญญากันแล้วห้างโจทก์เป็นหนี้จำเลยอยู่ ๑,๖๕๐,๓๘๕ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้ห้างโจทก์กับพวกชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้บริษัทจำเลย ห้างโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้คดีหลายข้อ ข้อหนึ่งในจำนวนนั้นมีว่า โดยข้อ ๕ ถึงข้อ ๙ แห่งสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้ห้างโจทก์ แต่ยังมิได้คิดบัญชีกัน และบริษัทจำเลยยังมิได้ชำระค่านายหน้าให้ห้างโจทก์คำให้การของห้างโจทก์ดังกล่าวเป็นคำให้การที่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าห้างโจทก์กับบริษัทจำเลยได้ทำสัญญาให้ค่านายหน้าแก่โจทก์หรือไม่ หากทำกันไว้ บริษัทยังค้างค่านายหน้าที่จะต้องจ่ายแก่ห้างโจทก์หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใดในชั้นพิจารณาห้างโจทก์และบริษัทจำเลยตกลงคิดบัญชีก่อน ผลปรากฏว่าห้างโจทก์มีหนี้ติดค้างบริษัทจำเลยอยู่ ๖๒๐,๐๐๐ บาท และบริษัทจำเลยยอมให้โจทก์หักเงินจำนวนนั้นเป็นค่านายหน้า และค่าป่วยการอื่นๆเป็นเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท และได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอม ยอมความกันตามผลการคิดบัญชีหนี้สินระหว่างกันดังกล่าวมา ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด การที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่านายหน้าซึ่งอ้างว่าเพิ่งทราบภายหลังที่มีคำพิพากาษาตามยอมในคดีก่อนแล้วนั้น เห็นได้ว่าประเด็นของคดีที่ว่า โดยสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๐ บริษัทจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่านายหน้าให้แก่ห้างโจทก์หรือไม่เพียงใด ได้รับการวินิจฉัยและศาลได้พิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องว่าสัญญาฉบับดังกล่าว ข้อ ๘ จำเลยยังมีหน้าที่ที่ต้องชำระค่านายหน้าแก่โจทก์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญากันไว้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ และเป็นจำนวนเท่าใด อันเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับประเด็นซึ่งได้วินิจฉัยถึงที่สุดไปแล้ว ในคดีหมายเลขแดงที่ ๗๓๕๘/๒๕๑๕ ของศาลแพ่ง โจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับโจทก์จำเลยในคดีดังกล่าว คดีของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามมีให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share