คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2666/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลไปเผชิยสืบที่พิพาท ศาลชั้นต้นสั่งว่าจะสั่งเมื่อสืบพยานบุคคลเสร็จแล้ว โจทก์สืบพยานบุคคลเสร็จแล้วแถลงหมดพยาน ดังนี้ ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานอื่นอีกต่อไป รวมทั้งการที่ให้ศาลไปเผชิญสืบด้วย โดยศาลไม่จำเป็นต้องสั่งงดการเดินเผชิญสืบของโจทก์
การขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบนั้น ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นจะสั่งงดเสียก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งความจริงที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,180 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยที่กินความไปถึงความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จตามมาตรา 180 ตามที่โจทก์ฟ้องด้วยแล้ว มิใช่วินิจฉัยแต่เฉพาะความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมัสยิดหรือสุเหร่าตามศาลนา-อิสลามจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๑๗ จำเลยทั้งหกร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องกรมธนารักษ์และโจทก์ในคดีนี้ว่าจำเลยทั้งหกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๘๖ ตำบลประแจจีน อำเภอดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินเลขที่ ๙๘๔ ตำบลเดียวกันอันมีโจทก์เป็นผุ้ครอบครองเพื่อประโยชน์ในกิจการทางศาสนาของมัสยิด แต่ที่ดินของโจทก์ปิดล้อมที่ดินจำเลยทั้งหก ทำให้ที่ดินของจำเลยทั้งหกไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ นอกจากจะผ่านที่ดินของโจทก์ โดยที่จำเลยทราบดีอยู่ว่าที่ดินของจำเลยมีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่ต้องผ่านที่ดินโจทก์ จำเลยร่วมกันแสดงพยานหลักฐานแผนที่ว่าที่ดินของจำเลยถูกที่ดินโจทก์ปิดล้อมอันเป็นเท็จแสดงต่อศาลอันเป็นข้อสำคัญในคดี เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๑๘ เวลากลางวัน จำเลยทั้งหกร่วมกันอ้างคำเบิกความของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ เบิกความเท็จว่า ที่ของจำเลยทั้งหกออกทางอื่นไม่ได้ โดยจำเลยที่ ๑ ทราบดีกว่ามีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ จำเลยที่ ๑ จึงเบิกความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดี เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๘ เวลากลางวัน จำเลยทั้งหกร่วมกันอ้างคำเบิกความของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ เบิกความเท็จว่า ที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งเป็นความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดี และจำเลยทราบดีอยู่แล้วเหตุเกิดที่ศาลแพ่ง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๙๑,๑๗๗, และ ๑๘๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว วินิจฉัยว่า
ฎีกาโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นไม่สั่งอนุญาตให้ไปเดินเผชิญสืบที่พิพาทตามคำร้องลงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ แล้วพิพากษายกฟ้องเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องดังกล่าวไว้จริง แต่เมื่อโจทก์นำนายภาศเจ้าหน้าที่กองรางวัดที่ดิน
ฝ่ายการโยธากรุงเทพมหานคร พยานโจทก์เข้าสืบเสร็จแล้ว โจทก์แถลงหมดพยานปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๑ ดังนี้ ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานอื่นอีกต่อไป รวมตลอดทั้งการขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบด้วย โดยศาลไม่จำต้องสั่งงดการเผชิญสืบของโจทก์แต่ประการใด แม้โจทก์จะแถลงขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบ ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานหรือทำการอะไรอีก ศาลจะสั่งงดสืบพยานหรือการนั้นเสียก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๔ วรรคท้าย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยเฉพาะความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ มิได้วินิจฉัยถึงความผิดฐานร่วมกันแสดงหรือนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามมาตรา ๘๓,๑๘๐ ตามที่โจทก์ฟ้องด้วยนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารระได้เช่นนี้ ย่อมกินความถึงการนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามที่โจทก์ฟ้องว่าที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ทางสาธารณะด้วยแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share