คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2025/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการปล้นทรัพย์จำเลยกับพวกได้คุมตัวผู้เสียหาย และบุคคลอื่นที่พบระหว่างทางให้ไปกับจำเลยด้วยพอมืดแล้วก็ปล่อยตัวกลับหมด เช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยเจตนาเพียงคุมตัวผู้เสียหายกับพวกไปเป็นประกันเพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์ไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้นอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์นั่นเอง การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามมาตรา 309, 310, อีกกรรมหนึ่งต่างหาก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๑๘ เวลากลางวัน จำเลยทั้ง ๕ คนมีอาวุธปืนติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ต่าง ๆ ของนายวรรณาและของนายเจือผู้เสียหายไปรวม ๑๗,๖๐๐ บาท ในการปล้นจำเลยกับพวกได้ใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญนางม่วยภรรยานายวรรณาผู้เสียหายและนางแก้วนาว่าจะทำอันตรายแก่การและถึงแก่ชีวิต หลังจากได้ทรัพย์สินแล้วจำเลยกับพวกได้ร่วมกันข่มขืนใจนางม่วยกับผู้มีชื่ออีกหลายคนให้ไปกับจำเลยกับพวก โดยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญบุคคลดังกล่าวกลัวจะเกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายจึงจำต้องไปกับจำเลย ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยกับพวกร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังนางม่วยกับนางสาวสายทองเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินสดจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าไถ่ตัวจำเลยทั้งสอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙, ๓๑๐, ๓๑๓, ๓๔๐ ตรี ฯลฯ
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๒ ประกอบด้วย มาตรา ๓๔๐ ตรี กระทงหนึ่ง จำคุก ๒๐ ปี และผิดตามมาตรา ๓๐๙ วรรค ๒ มาตรา ๓๑๐ วรรคแรกและมาตรา ๓๑๓ วรรคแรกอีกกระทงหนึ่งลงโทษบทหนักตามมาตรา ๓๑๓ วรรคแรก จำคุก ๑๕ ปี นอกนั้นยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องข้อหาฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่ทำให้ปราศจากเสรีภาพ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่และทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ได้กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์จริง
ส่วนข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่นั้นพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกได้เรียกเงินค่าไถ่ตัวบุคคลที่จำเลยกับพวกได้พาตัวไป จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ จึงไม่มีความผิดฐานนี้ สำหรับข้อหาฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่าในการปล้นทรัพย์รายนี้จำเลยกับพวกได้คุมตัวผู้เสียหายกับพวกและพวกที่พบระหว่างทางไปด้วยพอมืดแล้วก็ปล่อยกลับหมด การกระทำของจำเลยในตอนนี้ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยเจตนาคุมตัวผู้เสียหายและพวกไปเป็นประกันเพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์ไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้น อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์นั่นเอง การกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ย่อมจะไม่เป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ-ในร่างกายตามมาตรา ๓๐๙ และ ๓๑๐ อีกกรรมหนึ่งต่างหาก
พิพากษายืน.

Share