แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินตามคำร้องของโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้วนั้น เป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีสิทธิที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นว่าผู้อื่นเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ได้ยึดไว้
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ผู้กู้และจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกัน ร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดที่ ๕๖๗๐ โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ ๒ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยึดให้เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ ๒ เพิ่งโอนที่ดินดังกล่าวให้นายพิรุณก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้เพียง ๗ วัน แล้วนายพิรุณได้โอนขายให้นายบัวหลวง นางละอองบุตรเขย และบุตรสาวของจำเลยที่ ๒ ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน โดยจำเลยที่ ๒ กับนายพิรุณ นายบัวหลวง นางละออง สมคบกันโอนทรัพย์ต่อกันโดยรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบเป็นการฉ้อฉล ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ทรัพย์ที่โจทก์ขอให้ยึดไม่ใช่ของจำเลย จึงยึดไม่ได้ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า หากข้อเท็จจริงเป็นดังคำร้องของโจทก์ ก็เพียงพอที่จะให้เห็นในเบื้องต้นว่า ทรัพย์ยังเป็นของจำเลยที่ ๒ อยู่ ชอบที่ศาลจะสั่งยึดได้ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของโจทก์ไว้พิจารณาและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า เมื่อปรากฏว่า ผู้อื่นมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินที่โจทก์ขอให้ยึด ศาลจะสั่งยึดโดยถือว่าเป็นของจำเลยที่ ๒ ตามคำร้องของโจทก์ไม่ได้ ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๒ กับพวกร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ ก็เป็นเรื่องที่ยังไม่ได้พิสูจน์กัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของโจทก์ไว้พิจารณา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินตามคำร้องของโจทก์แล้วนั้น หากทรัพย์สินที่ยึดเป็นของจำเลยที่ ๒ ลูกหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็มีสิทธิที่จะขอให้บังคับคดีเอาทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๕, ๒๗๖ และถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘ ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างศาลกับเจาหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีสิทธิที่จะฎีกาโต้แย้งคำสั่ง และคำพิพากษาดังกล่าวนั้นได้ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นฎีกาที่จะรับไว้พิจารณา
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ ๒