แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยติดต่อซื้อขายเศษยางกัน โดยจำเลยรับเงินล่วงหน้าไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง เมื่อจำเลยนำยางและเศษยางมาขายให้โจทก์ก็คิดราคายางหักจากเงินที่จำเลยรับไปแล้ว ต่อมามีการคิดบัญชีกันแล้วจำเลยได้ทำหนังสือรับว่ายังมีเงินค่าเศษยางที่จำเลยรับไปล่วงหน้าเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่เหลือนั้นคือ ดังนี้ หาใช่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปตามมาตรา 165 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ จะนำอายุความ 2 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1326/2511)
จำเลยทำหนังสือรับสารภาพหนี้ให้โจทก์ มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้ที่จำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172, 181 ตามหนังสือรับสภาพหนี้นี้จำเลยรับว่าจะผ่อนชำระหนี้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2508 ฉะนั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสุดสิ้นลงเมื่อครบกำหนด 2 ปี ในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2510 และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันนั้นซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๖๘,๑๙๘.๕๕ บาท ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ ปี และยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ ๑๕ ต่อปี หลังจากทำสัญญาโจทก์ได้ทวงถามหลายครั้งจำเลยไม่ชำระ จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยนับแต่วันทำสัญญาถึงวันฟ้องนานประมาณ ๑๔๓,๗๖๘.๗๕ บาท กับดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ ๑๕ ต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ หนังสือสัญญาผ่อนชำระหนี้ไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น และคิดดอกเบี้ยตามฟ้องไม่ถูกต้อง เมื่อปี ๒๕๐๖ – ๒๕๐๘ จำเลยติดต่อขายยางกับโจทก์ เมื่อคิดบัญชีกันแล้วคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อค้างชำระค่าซื้อขายยางไว้เป็นจำนวนเท่าใดจำไม่ได้ และจะเป็นฉบับเดียวกับที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง แต่ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วไม่มีหนี้สินต่อกัน ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ และเป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าสิ่งของอย่างไร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและไม่ขาดอายุความจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้ และยังมิได้ชำระ หนี้ดังกล่าวเป็นเงินค่าเศษยางที่จำเลยรับไปล่วงหน้า ซึ่งมีมูลมาจากการซื้อขายเศษยางแก่กัน โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น คงเรียกดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้และคิดดอกเบี้ย ๕ ปีตามที่โจทก์ขอ พิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม ๑๑๙,๓๔๗.๔๕ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๘,๑๙๘.๔๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย ๒ ข้อคือ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วหรือไม่ในประเด็นข้อแรกข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยติดต่อซื้อขายเศษยางกันโดยจำเลยรับเงินล่วงหน้าไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง เมื่อจำเลยนำยางและเศษยางมาขายให้โจทก์ก็คิดราคายางหักจากเงินที่จำเลยรับไปแล้ว ต่อมามีการคิดบัญชีกันแล้วจำเลยได้ทำหนังสือรับว่ายังมีเงินค่าเศษยางที่จำเลยรับไปล่วงหน้าเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่เหลือนั้นคือ จึงหาใช่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปตามมาตรา ๑๖๕ (๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังที่จำเลยฎีกาไม่ และกรณีเช่นนี้จะนำอายุความ ๒ ปี ตามมาตรา ๑๖๕ (๑) มาบังคับไม่ได้ ต้องใช้อายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๒๖/๒๕+ ระหว่างบริษัทเพชรทองคำ จำกัด โดยนายมานะ เพชรทองคำ กรรมการ โจทก์ นายณรงค์ วงศ์วรรณ หรือยาทอง จำเลย การที่จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์มีผลทำให้อายุความสะดุดลงและเริ่มนับอายุความชิ้นใหม่ ตามอายุความแห่งมูลหนี้ที่จำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสุดสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒, ๑๘๑ ตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้น จำเลยรับว่าจะผ่อนชำระหนี้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ เป็นต้นไป ฉะนั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหลุดลงจึงสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด ๒ ปี ในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันนั้นซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป โจทก์มาฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๑๘ ยังไม่เกิน ๑๐ ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ สำหรับประเด็นข้อสองฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์
พิพากษายืน