คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1864/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ อ.เจ้ามรดกตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้อง โดยเมื่อ อ.วายชนม์ ที่พิพาทตกได้แก่ ย.บุตรของ อ. ย.วายชนม์ มรดกส่วนของ ย.ตกได้แก่ ค.ยายของโจทก์ ค.วายชนม์ ตกได้แก่ ช. และตกได้แก่โจทก์ เมื่อ ช.มารดาโจทก์วายชนม์ โจทก์ครอบครองที่พิพาทตลอดมาเช่นเดียวกันกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ อ. สาย ล.บุตรของ อ.อีกคนหนึ่ง เพียงสองคนเท่านั้น ไม่มีทายาทอื่นเกี่ยวข้อง จึงฟ้องขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่ง ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกโดยอาศัยสิทธิรับมรดกสืบทอดมาจาก ย.ทวดของโจทก์ ซึ่งมีการรับมรดกของ อ.เป็นทอด ๆ กันมาตามบัญชีเครือญาตท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
แม้ ย.จะวายชนม์ก่อน อ.ก็ตาม เมื่อ ย.บุตร อ.เจ้ามรดกมีผู้สืบสันดานคือ ค. ค.จึงเป็นผู้รับมรดก อ.แทนที่ ย.บิดา และมีการรับมรดกสืบต่อมาจนถึงโจทก์บุตรของ ช.ซึ่งเป็นบุตรของ ค.โจทก์จึงเป็นทายาทมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากกองมรดกของ อ.เจ้ามรดก และมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ อ.ร่วมกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ อ. เจ้ามรดกตลอดมา แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความ มาตรา 1754 ก็ดี โจทก์ก็มีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ อ.ได้
โจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกของ อ.เจ้ามรดกร่วมกับจำเลย โดยทายาทอื่น ๆ ของ อ.ที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวและโต้แย้ง ถือได้ว่าโจทก์จำเลยครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของรวมกัน โจทก์จึงมีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่งได้ในฐานะกรรมสิทธิ์รวม
ทายาทอื่น ๆ ของ อ.ต่างเป็นพยานเบิกความว่าได้ออกจากที่พิพาทไป 40 ปีแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ไม่ขอรับส่วนแบ่งในที่พิพาท ส่วนทายาทอื่น ๆ ที่อยู่ในที่พิพาทก็เป็นบุตรจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลย บ้างอยู่โดยอาศัยสิทธิของ ช.มารดาโจทก์ ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวด้วย ดังนี้จึงถือได้ว่าทายาทอื่น ๆ ของ อ.ต่างไม่มีสิทธิในที่พิพาทแล้ว คงเหลือผู้มีสิทธิในที่พิพาทคือโจทก์จำเลยสองคนเท่านั้น โจทก์จึงย่อมมีสิทธิแบ่งครึ่งได้ หาได้เกินสิทธิที่โจทก์ควรจะได้รับไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นป้าโจทก์และต่างเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกนางอุ่นด้วยกัน ที่ดินโฉนดที่ ๖๗๑๗ มีชื่อนางอุ่นเป็นเจ้าของ นางอุ่นวายชนม์ประมาณ ๕๐ ปีแล้ว โจทก์จำเลยมีส่วนกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง โดยต่างได้ครอบครองปลูกบ้านอยู่อาศัยมาเกินกว่า ๔๐ ปีแล้ว ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดที่ ๖๗๑๗ ให้โจทก์กึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของนางอุ่น นางอุ่นได้ยกให้นางหล่ำยายของจำเลยเมื่อประมาณ ๕๐ ปีเศษมานี้ โจทก์เป็นเพียงผู้อาศัย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดที่ ๖๗๑๗ ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทคือที่ดินโฉนดที่ ๖๗๑๗ มีชื่อนางอุ่นถือกรรมสิทธิ์มาแต่เดิม นางอุ่นวายชนม์มาประมาณ ๕๐ ปีแล้ว โจทก์จำเลยต่างเป็นทายาทของนางอุ่นเจ้ามรดก
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางอุ่นเจ้ามรดกตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้อง โดยเมื่อนางอุ่นวายชนม์ ที่พิพาทตกได้แก่นายยิ้มบุตรของนางอุ่น นายยิ้มวายชนม์ มรดกส่วนของนายยิ้มตกได้แก่นางโค้ยายของโจทก์ นางโค้วายชนม์ตกได้แก่นางชายและตกได้แก่โจทก์ เมื่อนางชายมารดาโจทก์วายชนม์ โจทก์ครอบครอบที่พิพาทตลอดมาเช่นเดียวกันกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของนางอุ่น สายนางหล่ำบุตรของนางอุ่นอีกคนหนึ่ง เพียงสองคนเท่านั้น ไม่มีทายาทอื่นเกี่ยวข้อง จึงฟ้องขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่ง ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกโดยอาศัยสิทธิรับมรดก สืบทอดมาจากนายยิ้ม ทวดของโจทก์ซึ่งมีการรับมรดกของนางอุ่นเป็นทอด ๆ กันมาตามบัญชีเครือญาติท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ถึงแม้นายยิ้มจะวายชนม์ก่อนนางอุ่นก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๓๙ บัญญัติว่า แม้ทายาทในฐานะเป็นผู้สืบสันดานตามมาตรา ๑๖๒๙ (๑) ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดาน ก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย ดังนี้ เมื่อนายยิ้มบุตรนางอุ่นเจ้ามรดกมีผู้สืบสันดานคือนางโค้ นางโค้จึงเป็นผู้รับมรดกนางอุ่น แทนที่นายยิ้มบิดา และมีการรับมรดกสืบต่อมาจนถึงโจทก์บุตรของนางชายซึ่งเป็นบุตรของนางโค้ โจทก์จึงเป็นทายาทมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากกองมรดกของนางอุ่นเจ้ามรดก และมีอำนาจฟ้องคดีนี้
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เห็นว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของนางอุ่นร่วมกับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของนางอุ่นเจ้ามรดกตลอดมา แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความมาตรา ๑๗๕๔ ก็ดี โจทก์ก็มีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของนางอุ่นได้
ข้อที่ว่าโจทก์มีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่งหรือไม่นั้น เห็นว่าโจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกของนางอุ่นเจ้ามรดกร่วมกับจำเลย โดยทายาทอื่น ๆ ของนางอุ่นที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวและโต้แย้งถือได้ว่าโจทก์จำเลยครอบครอบที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของรวมกัน โจทก์จึงมีสิทธิขอแบ่งที่พิพาทครึ่งหนึ่งได้ในฐานะกรรมสิทธิ์รวม
จำเลยฎีกาว่า ทายาทของนางอุ่นที่มีชีวิตอยู่นอกจากโจทก์จำเลยยังมีอีกหลายคนและมีสิทธิรับมรดกของนางอุ่นเช่นเดียวกัน การที่จะแบ่งที่พิพาทให้แก่โจทก์จำเลยคนละกึ่งหนึ่งเป็นการตัดสิทธิของทายาทอื่นและเกินสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ และควรได้รับนั้น เห็นว่าคดีได้ความว่าทายาทอื่น ๆ ของนางอุ่นเป็นต้นว่า นางตาและนางตุ่น เฉพาะนางตุ่นก็เบิกความว่าได้ออกจากที่พิพาทไป ๔๐ ปีแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท นางตาก็เบิกความว่าไม่เอา คือไม่ขอรับส่วนแบ่งในที่พิพาท ส่วนทายาทอื่น ๆ ที่อยู่ในที่พิพาทคือนางทองอยู่ นางทองดี ก็เป็นบุตรจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลย นายใยอีกคนหนึ่งที่อยู่ในที่พิพาท จำเลยเบิกความว่านายใยอยู่โดยอาศัยสิทธิของสิทธิของนางชายมารดาโจทก์ ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวด้วย ดังนี้จึงถือได้ว่าทายาทอื่น ๆ ของนางอุ่นดังกล่าวต่างไม่มีสิทธิในที่พิพาทแล้ว คงเหลือผู้มีสิทธิในที่พิพาทคือโจทก์กับจำเลยสองคนเท่านั้น โจทก์จึงย่อมมีสิทธิแบ่งครึ่งได้ หาได้เกินสิทธิที่โจทก์ควรจะได้รับไม่
พิพากษายืน.

Share