คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5746/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาค้ำประกันระบุข้อความว่า “ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันบริษัท ท. จำกัด ต่อกรมสรรพากรเป็นเงินไม่เกิน 2,097,425 บาท พร้อมทั้งเงินเพิ่ม…” ตามข้อสัญญาดังกล่าวมีความหมายว่า จำเลยค้ำประกันหนี้ค่าภาษีอากรส่วนหนึ่งไม่เกินจำนวน 2,097,425 บาท กับเงินเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง หาใช่ค้ำประกันหนี้ค่าภาษีรวมกับเงินเพิ่มไม่เกินจำนวน 2,097,425 บาท ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๔,๐๑๔,๒๑๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำหนังสือค้ำประกันบริษัทไทยไครสเลอร์ออโตโมทิฟ จำกัด ในวงเงินไม่เกิน ๒,๐๙๗,๔๒๕ บาท เป็นการค้ำประกันการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มรวมเงินเพิ่มโดยจำกัดวงเงินไม่เกินจำนวนดังกล่าว โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดเกินกว่าสัญญาค้ำประกัน เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันจำนวน ๔,๐๑๔,๒๑๐ บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า วงเงินจำนวน ๒,๐๙๗,๔๒๕ บาท ที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๕๖ รวมถึงเงินเพิ่มด้วยหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าวข้อ ๑ วรรคสอง ระบุว่า “ข้าพเจ้ายอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันบริษัทไทยไครสเลอร์ออโตโมทิฟ จำกัด ต่อกรมสรรพากรเป็นเงินไม่เกิน ๒,๐๙๗,๔๒๕ บาท พร้อมทั้งเงินเพิ่ม ซึ่งบริษัทไทยไครสเลอร์ออโตโมทิฟ จำกัด จะต้องชำระตามกฎหมาย…” ตามข้อสัญญาดังกล่าวมีความหมายชัดเจนว่า จำเลยค้ำประกันหนี้ค่าภาษีส่วนหนึ่งไม่เกินจำนวน ๒,๐๙๗,๔๒๕ บาท กับเงินเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง หาใช่ค้ำประกันหนี้ค่าภาษีรวมกับเงินเพิ่มไม่เกินจำนวน ๒,๐๙๗,๔๒๕ บาท ดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดในหนี้ภาษีอากรและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน ๔,๐๑๔,๒๑๐ บาท ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.

Share