แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ และยังมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทและให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แม้ถือได้ว่า คำขอส่วนแรกเป็นคำขอหลัก คำขอส่วนหลังเป็นคำขอต่อเนื่อง แต่ก็มีผลเพียงก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ในการอุทธรณ์ฎีกาโดยไม่จำต้องพิจารณาถึงราคาทรัพย์สินพิพาทเท่านั้น หาได้มีผลถึงกับทำให้โจทก์มีสิทธิชำระค่าขึ้นศาลแบบคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แต่ประการใดไม่ ทั้งนี้ตามตาราง 1 (3) ท้าย ป.วิ.พ. โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์พิพาทในอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่ให้น้อยกว่าสองร้อยบาท
แม้การประทับตรากำหนดวันให้โจทก์มาทราบคำสั่งศาลเป็นการกระทำโดยเจ้าพนักงานศาล แต่โจทก์ก็ได้ลงลายมือชื่อไว้ในตราประทับดังกล่าว เป็นการยืนยันต่อศาลว่าโจทก์จะไปทราบคำสั่งในวันดังกล่าวเอง ทั้งตราประทับยังมีข้อความด้วยว่าถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ศาลจึงไม่จำต้องมีหมายแจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบอีก โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาล ภายในวันที่ 5 กันยายน 2542 แต่วันดังกล่าวเป็นวันหยุดราชการ โจทก์ยังชำระค่าธรรมเนียมศาลได้จนถึงวันที่ 6 กันยายน 2542 หรือหากจะขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลอีก โจทก์ต้องยื่นคำร้องภายในวันดังกล่าว การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลในวันที่ 7 กันยายน 2542 จึงเป็นการยื่นเกินกำหนด และเมื่อในคำร้องฉบับดังกล่าวโจทก์มิได้ระบุถึงเหตุที่ทำให้โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องภายในกำหนด จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า มีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยอันควรอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลหรือไม่
การอนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรว่าจะอนุญาตกี่ครั้งหรือเป็นเวลานานเพียงใดตามป.วิ.พ. มาตรา 23
หาเป็นการจำกัดสิทธิของโจทก์ไม่ คดีนี้ศาลมีคำสั่งในคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมฉบับลงวันที่ 6 สิงหาคม 2542 ว่า อนุญาตอีกเพียงครั้งเดียว ย่อมชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีข้อตกลงว่า หากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะขายที่ดินก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่า ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะขายในราคาเท่าใด เพื่อโจทก์จะมีโอกาสตกลงซื้อได้ก่อน แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ ๓ โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบก่อน ขอให้พิพากษาว่า นิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว กับขอให้มีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสามได้ในราคาที่จำเลยที่ ๓ ซื้อจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ และให้จำเลยทั้งสามโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่อง ขอให้มีคำสั่งให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายต่อไป
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์นำที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่าช่วง เป็นการผิดสัญญาเช่า สัญญาเช่าจึงเป็นอันระงับไปแล้ว จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ แจ้งเรื่องจะขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ ๓ ให้โจทก์ทราบก่อนขาย โจทก์ไม่ซื้อเอง จำเลยที่ ๓ ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ผูกพันจำเลยที่ ๓ ซึ่งซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสาม
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จ ส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่านโดยมีรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ แนบไปด้วยว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลล่างทั้งสองอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ ฉะนั้น ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตีราคาที่ดินพิพาท และให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลล่างทั้งสองให้ครบภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด หากไม่ชำระให้ส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นนัดพร้อม คู่ความตกลงกันว่า ที่ดินพิพาทมีราคา ๘๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเท่ากับราคาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขายให้แก่จำเลยที่ ๓ ศาลชั้นต้นให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันมีคำสั่ง หลังจากนั้นโจทก์ขอขยายระยะเวลาชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มรวม ๓ ครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาตครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ส่วนครั้งที่ ๓ โจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๒ ขอขยายระยะเวลาชำระค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลเพิ่มอีก ๓๐ วัน นับแต่วันครบกำหนดที่ศาลชั้นต้นอนุญาตครั้งก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นเกินกำหนด ทั้งมีการขยายระยะเวลาวางเงินให้หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายศาลชั้นต้นส่งว่าอนุญาตเพียงครั้งเดียว แต่โจทก์ก็มาขอขยายระยะเวลาอีก กรณีไม่มีเหตุอนุญาตตามคำร้อง ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ และเมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในกำหนด จึงให้ส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์เพื่อดำเนินการต่อไป
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงิน
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งทิ้งฟ้อง และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายเวลาวงเงิน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อ ๒.๔ ก่อนว่า โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มหรือไม่ ขึ้นศาลตามอัตราใน (๑) แม้ไม่ให้น้อยกว่าอัตราใน (๒) (ก) หรือ (๒) (ข) แล้วแต่กรณี กล่าวคือในอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาทต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์พิพาท แต่ไม่น้อยกว่าสองร้อยบาท ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามโจทก์ฎีกาข้อ ๒.๑ และข้อ ๒.๓ ว่า การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๒ เป็นการยื่นเกินกำหนดหรือไม่ และกรณีมีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยหรือไม่ เห็นว่า แม้การประทับตรากำหนด ดังกล่าว เป็นการยืนยันต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์จะไปทราบคำสั่งในวันดังกล่าว ทั้งตราประทับดังกล่าวมีข้อความด้วยว่า ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องมีหมายแจ้งคำสั่งไปให้โจทก์ทราบอีกโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๒ ตามคำสั่งศาลชั้นต้น กล่าวคือภายในวันที่ ๕ กันยายน แต่วันดังกล่าวตรงกับวันอาทิตย์อันเป็นวันหยุดราชการ โจทก์ยังชำระค่าธรรมเนียมศาลได้จนถึงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๒ หรือหากจะขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลอีก โจทก์ต้องยื่นคำร้องภายในวันดังกล่าว การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลในวันที่ ๗กันยายน ๒๕๔๒ จึงเป็นการยื่นเกินกำหนด และเมื่อในคำร้องฉบับดังกล่าวโจทก์มิได้ระบุถึงเหตุที่ทำให้โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องภายในกำหนด จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า มีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยอันควรอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลหรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ข้อ ๒.๒ ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องฉบับลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๒ ว่าอนุญาตอีกเพียงครั้งเดียว เป็นคำสั่งที่จำกัดสิทธิของโจทก์ เป็นคำสั่งที่มิชอบหรือไม่ เห็นว่า การอนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียม ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรว่าจะอนุญาตกี่ครั้งหรือเป็นเวลานานเพียงใด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ หาเป็นการจำกัดสิทธิของโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาแต่ประการใดไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
นายอธิคม อินทุภูติ ผู้ช่วยฯ
นายเจษฎา ชุมเปีย ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายวีระวัฒน์ ปวาจารย์ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ