แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาตามยอมย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยที่ 2 จะมากล่าวอ้างในภายหลังว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปโดยสำคัญผิดหาได้ไม่
กรณีที่จะต้องมีการตีความแห่งข้อความในเอกสารใดก็แต่เฉพาะเมื่อข้อความในเอกสารนั้นมีข้อสงสัยเท่านั้น สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 มีข้อความว่าจำเลยทั้งสองสัญญาว่าจะชำระเงินภายในกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 เป็นต้นไป และสัญญาข้อ 2.1 มีข้อความว่า จำเลยทั้งสองจะชำระเงินต่อเมื่อได้ขายคอนโดมิเนียมของจำเลยที่ 1 ได้แล้ว แต่ไม่เกิน 1 ปีดังกล่าวในข้อ 2 เห็นได้ว่า ข้อความตามตัวอักษรในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 มีความหมายชัดเจนแปลความได้โดยนัยเดียวว่าจำเลยทั้งสองตกลงชำระเงินให้แก่โจทก์ภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 เป็นต้นไป อันเป็นเงื่อนเวลาสิ้นสุดที่กำหนดไว้ตามสัญญา ข้อความแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้ขัดกัน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม คำพิพากษาตามยอมโจทก์จึงขอให้ออกหมายบังคับคดี และศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองแล้ว ต่อมาวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีและยกเลิกการบังคับคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์มีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีได้ ไม่มีเหตุงดการบังคับคดี ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ในวันทำสัญญายอม จำเลยที่ ๒ ได้ทักท้วงไว้แล้วว่า หากขายคอนโดมิเนียมไม่ได้ภายในกำหนดตามสัญญา ผลจะเป็นอย่างไร ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนได้ชี้แจงว่า หากไม่ระบุข้อความตาม สัญญายอมเช่นนี้จะตกลงกันไม่ได้และเป็นเรื่องพูดคุยกันได้ว่า เงินที่ต้องชำระให้แก่โจทก์ต้องเป็นเงินที่ได้จากการ ขายคอนโดมิเนียม เมื่อจำเลยทั้งสองไม่สามารถขายคอนโดมิเนียมได้ภายในกำหนด โจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีสิทธิบังคับคดี คำสั่งของศาลที่ให้โจทก์บังคับคดีจึงผิดระเบียบ ขอให้นัดพร้อมและเพิกถอนคำสั่งที่ผิดระเบียบดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทั้งสองมิได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามยอม จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบังคับคดี ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วเห็นว่า
คดีนี้ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยว่า โจทก์ ทนายโจทก์ จำเลยที่ ๒ และทนายจำเลยทั้งสองมาศาล คู่ความได้แถลงต่อศาลชั้นต้นร่วมกันว่า คดีตกลงกันได้และยื่นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล เพื่อขอให้ศาลพิพากษาตามยอม เมื่อศาลชั้นต้นตรวจพิเคราะห์สัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว เห็นว่าไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ดังนั้น หากจำเลยที่ ๒ เห็นว่าข้อความแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ยื่นต่อศาลดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันหรือไม่ถูกต้องประการใดก็ชอบที่จะขอให้แก้ไขเพื่อให้ ถูกต้องและเป็นไปตามที่ตกลงกันหรือปฏิเสธที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเสีย หรืออาจใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมดังกล่าวภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ คำพิพากษาตามยอมย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง จำเลยที่ ๒ จะมากล่าวอ้างในภายหลังว่า จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปโดยสำคัญผิดหาได้ไม่ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น จำเลยที่ ๒ ฎีกาต่อมาว่า ข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความขัดกันและสับสนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีที่จะต้องมีการตีความแห่ง ข้อความในเอกสารใดก็แต่เฉพาะเมื่อข้อความในเอกสารนั้นมีข้อสงสัยเท่านั้น คดีนี้ข้อความตามตัวอักษรใน สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๒ ข้างต้น มีความหมายชัดเจนแปลความได้โดยนัยเดียวว่า จำเลยทั้งสองตกลง ชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในกำหนด ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไป อันเป็นเงื่อนเวลาสิ้นสุดที่กำหนดไว้ตามสัญญา สัญญาดังกล่าวย่อมสิ้นผลเมื่อถึงเวลาที่กำหนดนั้น กล่าวคือ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ภายใน ระยะเวลาที่กำหนดย่อมต้องตกเป็นผู้ผิดสัญญา และโจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ทันทีตามข้อความใน สัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๔ ส่วนข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๒.๑ ที่ว่า จำเลยทั้งสองจะชำระเงินต่อเมื่อได้ขายคอนโดมิเนียมของจำเลยที่ ๑ ได้แล้ว แต่ไม่เกิน ๑ ปี ดังกล่าวในข้อ ๒ มีความหมายชัดเจนถึงว่า หากจำเลยทั้งสองขายคอนโดมิเนียมของจำเลยที่ ๑ ได้ก่อนครบกำหนด ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๐ เมื่อใด จำเลยทั้งสองก็จะชำระเงินให้แก่โจทก์เมื่อนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากจำเลยทั้งสองขายคอนโดมิเนียมของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ จำเลยทั้งสองก็ยังจะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลา ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๐ อันเป็นเงื่อนเวลาสิ้นสุดที่กำหนดไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๒ นั่นเอง ข้อความแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งสองข้อดังกล่าวจึงมิได้ขัดกันหรือสับสน ถึงกับต้องนำสัญญาข้อ ๒.๒ ที่โจทก์ต้องโอนที่ดินคืนแก่จำเลยที่ ๒ หรือสัญญา ข้อ ๒.๓ ที่จำเลยทั้งสองตกลงว่า ถ้ามีกำไรจากการขายคอนโดมิเนียมของจำเลยที่ ๑ ก็จะแบ่งกำไรตามหุ้นที่ จดทะเบียน ถ้าไม่มีกำไร โจทก์ก็จะได้รับเงิน ๕,๖๐๐,๐๐๐ บาท เหมือนเดิม ซึ่งล้วนเป็นเรื่องภายหลังเมื่อจำเลยทั้งสองได้ชำระเงินแก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาข้อ ๒ และ ข้อ ๒.๑ แล้ว มาพิจารณาประกอบการตีความข้อสัญญาดังที่จำเลยที่ ๒ ฎีกา ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่า การตีความดังเช่นที่จำเลยที่ ๒ ฎีกามานั้น เป็นที่เห็นได้ชัดว่านอกจากจะขัดกับ ข้อความตามตัวอักษรของสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ยังจะมีผลทำให้เงื่อนเวลาสิ้นสุดที่กำหนดไว้ใน สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๒ เพื่อให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ ซึ่งนับเป็นข้อสำคัญของสัญญาไม่มีผลใช้บังคับ ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ