คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3403/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีเดียวกันภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เมื่อมีแต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ จำเลยที่ 1 จึงได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (4) แต่ผู้เดียวโดยเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ทั้งโจทก์ก็สามารถแยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้อยู่แล้ว ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จะถูกโจทก์ฟ้องให้รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันเป็นคดีเดียวกันกับคดีของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ก็ไม่อาจได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 (4) เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ได้ เพราะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มิได้มีฐานะเป็นผู้ร่วมร้องขอหรือเป็นลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการดังกล่าวด้วย ดังนั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ได้รับประโยชน์จากการที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้กล่าวมาในคำร้องเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นเลย คำร้องของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคท้าย ส่วนคำร้องของจำเลยที่ 4 มิได้แสดงรายละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 4 แพ้คดีไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง ทั้งหาได้คัดค้านในเนื้อหาแห่งคำตัดสินของศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไร หากมีการพิจารณาพิพากษาใหม่แล้วจำเลยที่ 4 จะชนะคดีอย่างไร จึงถือไม่ได้ว่าเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคท้าย

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่ารถยนต์จากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เป็นผู้ค้ำประกัน แล้วจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแก่โจทก์ รวมทั้งจำเลยที่ ๑ มิได้สงวนรักษาทรัพย์ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์ที่เช่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดชำระค่าเช่าจำนวน ๓๙,๖๒๕ บาท กับค่าเสียหายจำนวน ๕๓,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๙๒,๖๒๕ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๕๒,๑๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยอ้างว่า เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอฟื้นฟูกิจการและศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.ฟ.๘/๒๕๔๒ ของศาลแพ่ง เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๒ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่คดีนี้เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๒ และหนี้คดีนี้เป็นหนี้ไม่อาจแบ่งแยกชำระได้ ศาลชอบที่จะไม่รับคำฟ้องหรืองดการพิจารณาคดีนี้ตั้งแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ (๔) ที่แก้ไขใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำร้องของจำเลยทั้งสี่มิได้บรรยายข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยละเอียด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ อีกทั้งการขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษา จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ทั้งหมด สำหรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทั้งสองศาลและค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ในชั้นนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกาขอให้ไม่รับฟ้องจำเลยทั้งสี่และเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำหลังจากรับฟ้องทั้งหมด กับอนุญาตให้พิจารณาคดีของจำเลยทั้งสี่ใหม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับคดีของจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ไม่ฎีกา ดังนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นคุณแก่จำเลยที่ ๑ อย่างยิ่ง ทั้งยังตรงกับความประสงค์ตามคำร้องของจำเลยที่ ๑ ในข้อที่ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ถูกต้องด้วย จึงไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ อีกต่อไป คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ซึ่งศาลฎีกาได้สั่งรับมาเป็นข้อแรกว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีเดียวกัน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ จะมีผลถึงกระบวนพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ด้วยหรือไม่ ได้ความจากคำร้องของจำเลยทั้งสี่ว่า ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.ฟ.๘/๒๕๔๒ ของศาลแพ่งซึ่งศาลแพ่งได้รับคำร้องขอของผู้ร้องขอไว้พิจารณานั้น คงมีแต่จำเลยที่ ๑ คดีนี้ที่เป็นผู้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ จำเลยที่ ๑ จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ (๔) แต่ผู้เดียวหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ ๑ และโจทก์ก็สามารถแยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้อยู่แล้ว ดังนั้น แม้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จะถูกโจทก์ฟ้องให้รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้ค้ำประกันเป็นคดีเดียวกันกับคดีของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ก็ไม่อาจได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ (๔) ที่แก้ไขใหม่เช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มิได้มีฐานะเป็นผู้ร่วมร้องขอหรือลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการดังกล่าวด้วย ดังนั้น จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ จึงไม่ได้รับประโยชน์จากการที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งการที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มายื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่นั้นก็ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เองได้ยอมรับอยู่ในตัวแล้วว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้ คดีจึงฟังได้ว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ต่อไปได้ แม้จำเลยที่ ๑ คดีนี้ศาลแพ่งจะมีคำสั่งอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ก็ตาม ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ที่ศาลฎีกาสั่งรับไว้ข้อต่อไปว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคสุดท้ายหรือไม่ ศาลฎีกาได้ตรวจคำร้องของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ แล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้กล่าวมาในคำร้องเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นเลย คำร้องของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคสุดท้าย ส่วนจำเลยที่ ๔ ก็กล่าวมาในคำร้องเพียงว่า จำเลยที่ ๔ ขอแสดงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่า หากจำเลยที่ ๔ มีโอกาสต่อสู้คดี ย่อมทำให้ผลคำตัดสินหรือคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาไม่ถูกต้องเป็นโมฆะ ทำขึ้นโดยกลฉ้อฉลและโจทก์ไม่เสียหายใด ๆ จากสัญญาเท่านั้น โดยจำเลยที่ ๔ มิได้แสดงรายละเอียดว่าสัญญาฉบับไหนไม่ถูกต้องเป็นโมฆะเพราะเหตุใด ทำขึ้นโดยกลฉ้อฉลอย่างไรและเหตุใดโจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายจากสัญญา ถือว่าเป็นคำร้องที่ไม่มีรายละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ ๔ แพ้คดีไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง แม้จำเลยที่ ๔ จะกล่าวมาด้วยว่าจำเลยที่ ๔ ขอแสดงข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาลชั้นต้น หากจำเลยที่ ๔ มีโอกาสต่อสู้คดีย่อมทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ หาได้คัดค้านในเนื้อหาแห่งคำตัดสินของศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไร หากมีการพิจารณาพิพากษาใหม่แล้วจำเลยที่ ๔ จะชนะคดีอย่างไร ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคสุดท้าย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าคำร้องของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคสุดท้าย จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีในส่วนของจำเลยที่ ๑ ว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายหลังจากศาลแพ่งมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ และศาลชั้นต้นรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษา ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ (๔) แล้วมีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ โดยมิได้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาแก้ไขเป็นว่าไม่รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ มาด้วยยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share