คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4529/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายซี่งมีอายุ 13 ปีเศษ 3 ครั้ง ในสถานที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันและเป็นสถานที่ที่ผู้เสียหายผ่านไปมาอยู่ตามปกติเป็นประจำ แม้จำเลยจะเป็นผู้สั่งให้ผู้เสียหายไปรอจำเลย ณ ที่เกิดเหตุ แต่เมื่อจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วจำเลยก็ปล่อยให้ผู้เสียหายกลับบ้านโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้หน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือพาผู้เสียหายไปที่อื่นใดอีก การกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนามุ่งที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายเพียงอย่างเดียว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม

ย่อยาว

ขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖,๒๗๗,๒๗๘,๓๑๗,๙๑
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคแรก (ที่ถูกมาตรา ๒๗๗ วรรคแรก), ๒๗๙,๓๑๗ วรรคท้าย เป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี จำคุก ๖ เดือน ฐานกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนจำคุกกระทงละ ๔ ปี รวม ๓ กระทง เป็นจำคุก ๑๒ ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารจำคุกกระทงละ ๕ ปี รวม ๓ กระทง เป็นจำคุก ๑๕ ปี รวมโทษจำคุก ๒๗ ปี ๖ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑๓ ปี ๙ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเพื่อการอนาจารทุกกระทง คงให้จำคุกจำเลยในความผิดฐานอื่น ๖ ปี ๓ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงนิตยา กลิ่นชิด ผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน ๑๕ ปี และกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมรวม ๓ กระทง คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี ไปจากบิดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ วรรคท้าย หรือไม่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ฟังมาได้ความว่า ในวันเกิดเหตุครั้งแรก เด็กหญิงนิตยา กลิ่นชิด ผู้เสียหายไปที่บ้านนายโต ได้พบนายโตและจำเลย จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่บริเวณบ้านนายโตแล้วจำเลยตามเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหาย ครั้งที่สองผู้เสียหายขี่รถจักรยานไปหาเพื่อนผ่านบ้านนายโตพบจำเลย จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปรอที่ห้องน้ำในวัดบ้านขอแล้วจำเลยตามไปกระทำชำเราผู้เสียหาย ครั้งที่สามผู้เสียหายขี่รถจักรยานกลับบ้านพบจำเลยบริเวณสะพานข้ามคลอง จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปรอที่ห้องน้ำบ้านนายบูลย์แล้วจำเลยตามไปกระทำชำเราผู้เสียหาย จากคำเบืกความของพยานโจทก์ประกอบแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุได้ความว่า ที่เกิดเหตุทุกแห่งอยู่ใกล้เคียงกันและเป็นสถานที่ที่ผู้เสียหายผ่านไปมาอยู่ตามปกติเป็นประจำ แม้จำเลยจะเป็นผู้สั่งให้ผู้เสียหายไปรอจำเลย ณ ที่เกิดเหตุ แต่เมื่อจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วจำเลยก็ปล่อยให้ผู้เสียหายกลับบ้านโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้หน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือพาผู้เสียหายไปที่อื่นใดอีก การกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนามุ่งที่จะกระทำชำเราผู้เสียหายเพียงอย่างเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ฟังว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม นั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

น.ส.อังคณา สินเกษม ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายวัส ติงสมิตร ผู้ช่วย
นายโชติช่วง ทัพวงศ์ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share