คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3803/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองต่อศาลไม่ปรากฏตามสำนวนว่ามีการข่มขู่แต่อย่างใด จึงต้องถือว่าเป็นการรับสารภาพต่อศาลโดยความสมัครใจ การที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าถูกนายประกันข่มขู่ให้การรับสารภาพต่อศาล หากไม่รับสารภาพจะถอนประกันจึงถือว่าเป็นการยกข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นขึ้นอุทธรณ์ เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยให้ในปัญหานี้จึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยไม่ยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้านตามหมายค้นของศาล และไม่ยอมให้นำตัว นาย ก. ซึ่งถูกจับกุมออกจากบ้านด้วยการใช้ไม้ท่อนเป็นอาวุธขู่เข็ญว่าจะทำร้ายและได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังเจ้าพนักงานตำรวจโดยปิดล็อกใส่กุญแจประตูรั้วบ้านไม่ยอมให้ออกจากบ้าน กับใช้ไม้ท่อนเป็นอาวุธขู่เข็ญว่าจะทำร้าย อันเป็นการข่มขืนใจ เจ้าพนักงานตำรวจให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองมีเพียงเจตนาเดียวคือป้องกันมิให้ผู้เสียหายทั้งห้าจับกุมตัวนาย ก. เท่านั้น และเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องในทันทีทันใด ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นเพียงกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓, ๙๑, ๑๓๘, ๑๓๙, ๑๔๐, ๓๐๙, ๓๑๐ ริบไม้ท่อนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง, ๑๓๙ ประกอบมาตรา ๑๔๐ วรรคแรก, ๓๐๙ วรรคสอง, ๓๑๐ วรรคแรก เรียงกระทงลงโทษ ฐานขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุกคนละ ๖ เดือน ฐานข่มขืนใจเป็นกรรมเดียวกันมีอัตราโทษเท่ากัน ลงโทษฐานข่มขืนใจเจ้าพนักงานจำคุกคนละ ๑ ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำคุกคนละ ๖ เดือน รวมจำคุกคนละ๑ ปี ๑๒ เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๑๒ เดือน ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท โดยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๐ วรรคแรก และมาตรา ๓๐๙ วรรคสอง มีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๔๐ วรรคแรก จำคุกคนละ ๑ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การที่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเพราะถูกนายประกันข่มขู่ว่าหากไม่ยอมรับสารภาพจะถอนประกัน คำรับสารภาพจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เห็นว่า คำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองต่อศาลไม่ปรากฏตามสำนวนว่ามีการข่มขู่แต่อย่างใด จึงต้องถือว่าเป็นการรับสารภาพต่อศาลโดยความสมัครใจ การที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าถูกข่มขู่ให้รับสารภาพต่อศาล จึงถือว่าเป็นการยกข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นขึ้นอุทธรณ์ เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ และข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่รับวินิจฉัยให้ในปัญหานี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเพียงเจตนาเดียวคือป้องกันมิให้ผู้เสียหายทั้งห้าจับกุมตัวนายกิตติศักดิ์ ชูประเสริฐ เท่านั้น และเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องในทันทีทันใด ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นเพียงกรรมเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

นายอดิเทพ ถิระวัฒน์ ผู้ช่วย
นางสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายโชติช่วง ทัพวงศ์ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share