คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2033/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีหลักเกณฑ์การเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานอยู่ 2 กรณี คือ เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานทั่วไปซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ของปีถัดไปและเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานที่พ้นจากตำแหน่งหรือพ้นจากเป็นพนักงานของจำเลยเพราะเกษียณอายุเป็นกรณีพิเศษในวันที่ 30 กันยายน ของปีที่ครบเกษียณอายุ โดยมิได้มีการชำระเงินจริงเพียงแต่ให้นำไปใช้ในการคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญเท่านั้น โจทกลาออกจากงานก่อนครบกำหนดเกษียณอายุและพ้นจากการเป็นพนักงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 โจทก์จึงพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยก่อนที่จะมีการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี 2544 จึงไม่มีสิทธิได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี 2544

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒ ในคดีสำนวนหลังเป็นโจทก์ที่ ๑๑๗ และที่ ๑๑๘ ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้จำเลยเลื่อนขั้นเงินเดือนแก่โจทก์ทั้งหมดคนละหนึ่งขั้นโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๓ หรือให้มีผลการเลื่อนขั้นเงินเดือนตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๔
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งหมดไม่มีสิทธิได้เลื่อนขั้นเงินเดือนตามระเบียบของโจทก์คดีขาดอายุความทำให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงขอสละประเด็นเรื่องอายุความและแถลงรับข้อเท็จจริงกันโดยต่างไม่ติดใจสืบพยานว่า จำเลยมีระเบียบเกี่ยวกับการเกษียณอายุกำหนดให้พนักงานเกษียณอายุเมื่ออายุครบ ๖๐ ปีบริบรูณ์ และมีหลักเกณฑ์การเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงาน ๒ กรณี คือ การเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานทั่วไป ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ของปีถัดไป ตามคำสั่งที่ ๑๕/๒๕๓๗ เอกสารหมายเลข ล.๒ กรณีหนึ่ง กับการเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานในปีที่ครบเกษียณอายุ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ของปีที่พนักงานผู้นั้นครบเกษียณอายุตามคำสั่งที่ ๔๗/๒๕๒๓ เอกสารหมายเลข ล.๑ อีกกรณีหนึ่งพนักงานที่เกษียณอายุจะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนตามคำสั่งที่ ๔๗/๒๕๒๓ จำเลยเคยจัดให้มีโครงการลาออกจากงานก่อนครบกำหนดเกษียณอายุมาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๗ ตามเอกสารหมาย ล.๓ ครั้งที่สองเมื่อปี ๒๕๔๑ ตามเอกสารหมาย ล.๔ และคณะกรรมการธนาคารจำเลยเคยมีมติไม่อนุมัติเลื่อนขั้นเงินเดือน ๑ ขั้น ให้แก่พนักงานที่ลาออกจากงานตามโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดประจำปี ๒๕๔๑ ตามเอกสารหมาย ล.๕ ต่อมาปี ๒๕๔๓ จำเลยได้จัดให้มีโครงการลาออกจากงานก่อนครบกำหนดเกษียณอายุขึ้นอีก ตามคำสั่งที่ ๖๗/๒๕๔๓ เรื่องการลาออกจากงานตามโครงการร่วมใจจากองค์กร เอกสารหมาย ล.๗ โจทก์ทั้งหมดเคยเป็นพนักงานของจำเลยได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว พ้นจาการเป็นพนักงานของจำเลยเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๓ ด้วยการลาออกและได้รับสิทธิประโยชน์ตามโครงการไปแล้ว โดยไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน จากจำเลยทั้งกรณีการเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานทั่วไปและการเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานในปีที่ครบเกษียณอายุ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยสิบแปดโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๑๗ ที่ ๗๑ กับที่ ๘๙ ไม่มีอำนาจฟ้อง และไม่อาจนำหลักเกณฑ์การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานตามคำสั่งจำเลยที่ ๑๕/๒๕๓๗ และคำสั่งที่ ๔๗/๒๕๒๓ มาใช้แก่กรณีของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยสิบแปดได้ โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยสิบแปด โดยโจทก์ที่ ๑๗ ที่ ๗๑ และที่ ๘๙ มิได้อุทธรณ์ในประเด็นเรื่องตนไม่มีอำนาจฟ้องมาด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑๗ ที่ ๗๑ และที่ ๘๙ จึงไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเปลี่ยนไป ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเฉพาะอุทธรณ์ของโจทก์อื่นว่า จำเลยต้องพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนตามคำสั่งที่ ๑๕/๒๕๓๗ ให้โจทก์ดังกล่าว เพราะเป็นสิทธิประโยชน์อื่นที่พนักงานพึงจะได้รับตามระเบียบการและคำสั่งจำเลยระบุไว้ในคำสั่งที่ ๖๗/๒๕๔๓ เรื่องการออกจากงานตามโครงการร่วมใจจากองค์กรเอกสารหมาย ล.๗ ข้อ ๒.๕ หรือไม่ เห็นว่า นอกจากคู่ความจะแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าจำเลยมีหลักเกณฑ์การเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานอยู่ ๒ กรณี คือ การเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานทั่วไปตามคำสั่งที่ ๑๕/๒๕๓๗ เอกสารหมาย ล.๒ มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคมของปีถัดไปกับการเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานในปีที่ครบเกษียณอายุ ตามคำสั่ง ที่ ๔๗/๒๕๒๓ เอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งระบุว่าเป็นการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่พนักงานที่พ้นจากตำแหน่งหรือพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยเพราะเกษียณอายุเป็นกรณีพิเศษที่ให้มีผลในวันที่ ๓๐ กันยายน ของปีที่ครบเกษียณอายุ เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญเท่านั้น โดยไม่มีการจ่ายเงินเดือนที่เพิ่มให้จริง อันแสดงว่าตามปกติพนักงานที่พ้นจากตำแหน่งไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานทั่วไป ตามคำสั่งที่ ๑๕/๒๕๓๗ จึงได้มีคำสั่งที่ ๔๗/๒๕๒๓ เพื่อให้สามารถเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่พนักงานที่พ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุได้เป็นกรณีพิเศษ โดยให้นำไปใช้ในการคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญเท่านั้นและไม่มีการจ่ายเงินเดือนที่เพิ่มให้จริง ซึ่งไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ที่จะใช้บังคับแก่กรณีการลาออกจากงานก่อนครบกำหนดเกษียณอายุของพนักงานได้และในคำสั่งที่ ๑๕/๒๕๓๗ ก็กล่าวไว้ในข้อ ๓ ว่า”ให้เลื่อนขั้นเงินเดือนปีละหนึ่งครั้งตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ของปี โดยใช้ข้อมูลในรอบปีที่แล้วมา ฯลฯ” โดยกำหนดรายละเอียดเป็นหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนหรือไม่ เพียงใด ไว้ในข้อ ๕ ถึงข้อ ๙ และให้คำจำกัดความไว้ในข้อ ๒ ว่า “เลื่อนขั้นเงินเดือน” หมายความว่า เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานประจำปี “ในรอบปีที่แล้วมา” หมายความว่า ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ของปี ก่อนปีเลื่อนขั้นเงินเดือน ทั้งข้อ ๑๗ ยังกำหนดว่า “พนักงานผู้ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี แต่ได้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งไปเสียก่อนที่จะมีคำสั่งขึ้นเงินเดือน ธนาคารจะขึ้นเงินเดือนให้พนักงานผู้นั้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในคำสั่งนี้ก็ได้” จึงเห็นได้ว่า พนักงานที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนตามคำสั่งที่ ๑๕/๒๕๓๗ จะต้องเป็นผู้ที่ยังเป็นพนักงานของจำเลยอยู่ในขณะที่มีการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนซึ่งกระทำหลังวันสิ้นปี พนักงานที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้วจะไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเว้นแต่จำเลยจะเห็นสมควรผ่อนผันให้ตามความในข้อ ๑๗ โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๖ ที่ ๑๘ ถึงที่ ๗๐ ที่ ๗๒ ถึงที่ ๘๘และที่ ๙๐ ถึงที่ ๑๘๘ พ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๓ ก่อนที่จะมีการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ๒๕๔๔ และไม่ปรากฏว่าได้รับการผ่อนผันจากจำเลยให้ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนตามความในข้อ ๑๗ ดังกล่าวแต่อย่างใด จึงไม่มีสิทธิได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนตามคำสั่งที่ ๑๕/๒๕๓๗ ที่จำเลยไม่พิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ดังกล่าวจึงถูกต้องแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๑๖ ที่ ๑๘ ถึงที่ ๗๐ ที่ ๗๒ ถึงที่ ๘๘ และที่ ๙๐ ถึงที่ ๑๑๘ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

นายอนันต์ ชุมวิสูตร ผู้ตรวจ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ย่อ
นายไมตรี ศรีอรุณ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share