แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้พยานโจทก์ทั้งสามคนจะเบิกความต่างกัน ทั้งในแง่ของจำนวนคนที่เข้าไปร่วมจับกุมจำเลย จำนวนคนที่พบในบ้านจำเลย และวิธีการหลบหนีของจำเลยว่าหลบหนีทางหน้าบ้านบ้างหลังบ้านบ้าง แต่ก็มิใช่ข้อแตกต่างที่เป็น สาระสำคัญอันจะทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามมีน้ำหนักน้อยลงถึงกับรับฟังไม่ได้ทั้งหมด เพราะจำเลยเองก็เบิกความรับว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ในบ้านเกิดเหตุและได้วิ่งหลบหนีจนเจ้าพนักงานตำรวจไล่ตามจับกุมได้ พยานหลักฐานโจทก์อื่น ๆ ก็มีเหตุผลและน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกับพวกมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองจริง เมื่อเฮโรอีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 17.247 กิโลกรัม จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานเด็ดขาดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง ที่ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า “ผลิต..ให้หมายความรวมถึงการแบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุด้วย” ดังนั้น พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกเอาเฮโรอีนอัดใส่ถุงพลาสติกเป็นแท่งยาวแล้วแบ่งแยกบรรจุลงในแผ่นไม้ฉำฉาที่ฉลุเป็นช่องไม้แล้วนำมาประกบติดกันเป็นคู่เพื่อจะนำไปประกอบเป็นลังไม้ เป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๕, ๖๕, ๖๖, ๑๐๒ ป.อ. มาตรา ๓๒, ๓๓, ๘๓, ๙๑ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสอง, ๖๕ วรรคสอง, ๖๖ วรรคสอง, ๑๐๒ ประกอบ ป.อ. มาตรา ๘๓ ฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและ ผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ การกระทำของจำเลยเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงและต่อสังคมโดยรวม ให้ประหารชีวิตจำเลย ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษประหารชีวิตแก่จำเลย ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ ประกอบมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ใน ครอบครองเพื่อจำหน่ายและผลิตเฮโรอีนของกลางเพื่อจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากพยานโจทก์ว่า เหตุที่มีการตรวจค้นบ้านเกิดเหตุและจับกุมจำเลย เนื่องจากที่บ้านเกิดเหตุมีชาวต่างชาติเข้าออกเป็นประจำและมีเสียง เครื่องจักรทำงานในเวลากลางวัน ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ส่อพิรุธ ทั้งขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นและจับกุมก็ปรากฏว่าจำเลยกับพวกซึ่งเป็นชาวต่างชาติอยู่ในบ้านเกิดเหตุด้วยกันและเมื่อเห็นสิบตำรวจโทกฤษณชัยกับพลตำรวจสมัครจินวัฒน์พยานโจทก์ทั้งสองจำเลยกับพวกได้วิ่งหนีและปีนรั้วออกไปทางหลังบ้านจนพยานโจทก์ทั้งสองไล่ตามจับกุมจำเลยได้ อันเป็นพฤติการณ์ส่อพิรุธของจำเลย ประกอบกับเมื่อมีการตรวจค้นบ้านเกิดเหตุก็พบเฮโรอีนอัดแท่งของกลางรวม ๓๙๓ แท่ง ซึ่งจำนวน ๒๒๘ แท่ง บรรจุอยู่ในไม้ฉำฉาที่ประกบติดกันจำนวน ๕๗ คู่ คู่ละ ๔ แท่ง ส่วนอีกจำนวน ๑๖๕ แท่ง อยู่ในกระเป๋าเดินทางสีเขียวและกระป๋องสีแดงอยู่ในตู้เสื้อผ้า นอกจากนี้ยังพบทรัพย์สินอื่น ๆ อีกหลายรายการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์ในการบรรจุเฮโรอีนอัดแท่งในช่องไม้ฉำฉา ที่ฉลุแล้วตบแต่งไม้ฉำฉาให้อยู่ในสภาพเดิมได้ พยานโจทก์ทั้งหกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติการไปตามหน้าที่ ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และไม่ปรากฏว่าได้กระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์อื่นใด ไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความและจัดทำพยานเอกสารต่าง ๆ อันเป็นเท็จเพื่อกลั่นแกล้งปรักปรำใส่ร้ายจำเลย จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ที่จำเลยอ้างในฎีกาสรุปใจความสำคัญได้ว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันโดยสิบตำรวจโท กฤษณชัยกับพลตำรวจสมัครจินวัฒน์เบิกความว่า พยานทั้งสองเข้าไปตรวจค้นจับกุมจำเลยเพียง ๒ คน แต่จ่าสิบตำรวจบรรจบเบิกความว่า พยานกับพวกรวม ๔ คน เข้าไปในบ้านเกิดเหตุ สิบตำรวจโทกฤษณชัยกับพลตำรวจสมัครจินวัฒน์ เบิกความว่า ในบ้านเกิดเหตุพบชาย ๓ คน แต่จ่าสิบตำรวจบรรจบเบิกความว่า ในบ้านเกิดเหตุมีชาย ๓ ถึง ๔ คน และ มีผู้หญิงปะปนอยู่ด้วย และสิบตำรวจโทกฤษณชัยกับพลตำรวจสมัครจินวัฒน์เบิกความว่าจำเลยหลบหนีออกไปทาง หลังบ้าน แต่จ่าสิบตำรวจบรรจบเบิกความว่า จำเลยวิ่งหนีไปทางหน้าบ้านนั้น เห็นว่า แม้พยานโจทก์จะเบิกความ แตกต่างกันตามที่จำเลยอ้างในฎีกาดังกล่าว ก็มิใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามมีน้ำหนักน้อยลงถึงกับรับฟังไม่ได้เสียทั้งหมด เพราะจำเลยเองก็เบิกความรับว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ในบ้านเกิดเหตุและได้วิ่งหลบหนีจนเจ้าพนักงานตำรวจไล่ตามจับกุมจำเลยได้ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบตามที่ได้วินิจฉัยมามีเหตุผลและน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยได้ร่วมกับพวกมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครอง ซึ่งเมื่อเฮโรอีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ ๑๗.๒๔๗ กิโลกรัม จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดของ มาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ ที่บัญญัติว่า “ผลิต
ให้หมายความรวมถึงการแบ่งบรรจุ หรือ รวมบรรจุด้วย” ดังนั้น พฤติการณ์ที่จำเลยกับพวกเอาเฮโรอีนที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอัดใส่ถุงพลาสติก เป็นแท่งยาว แล้วแบ่งแยกบรรจุเฮโรอีนของกลางลงในแผ่นไม้ฉำฉาที่ฉลุเป็นช่องไม้แล้วนำมาประกบติดกันเป็นคู่ เพื่อจะนำไปประกอบลังไม้ เป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกผลิตเฮโรอีนของกลางเพื่อจำหน่ายอีกด้วย ข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยไม่มีน้ำหนักที่จะฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.