แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยเคยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาหย่าขาดกัน โจทก์และจำเลยพิพาทเกี่ยวกับที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสมีราคา 750,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 375,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์หนึ่งในสามเป็นเงิน 250,000 บาท โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์กึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 125,000 บาท แม้ไม่เกินสองแสนบาทก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาจำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง จนทำให้โจทก์ไม่อาจจะทนต่อความประพฤติของจำเลยได้ โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยอีกต่อไป ขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าต่อทางราชการ ถ้าเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นหลักฐานการจดทะเบียนหย่าต่อทางราชการฝ่ายเดียว โดยให้บุตรทั้งสองอยู่ในความอุปการะของโจทก์ฝ่ายเดียว ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพและค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์กับบุตรทั้งสองเดือนละ 8,000 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ให้แบ่งสินสมรส คือบ้านและที่ดิน ราคา 750,000 บาท พร้อมทั้งส่งคืนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 7 ช – 4874 กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้งานได้
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว ให้จำเลยจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์คนละ 2,000 บาท ต่อเดือน รวมเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองอายุ 10 ปี หลังจากนั้นจ่ายคนละ 2,500 บาท ต่อเดือน รวมเดือนละ 5,000 บาท จนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองอายุ 15 ปี และหลังจากนั้นจ่ายคนละ 3,000 บาท ต่อเดือน รวมเดือนละ 6,000 บาท จนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองบรรลุนิติภาวะ ให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 41984 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และรถยนต์หมายเลขทะเบียน 7 ช – 4874 กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 41984 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ตามส่วนหรือจำนวนหนึ่งในสามของทรัพย์สินดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เห็นสมควรให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินและบ้านพิพาทมีราคา 750,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 375,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์หนึ่งในสามเป็นเงิน 250,000 บาท โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์กึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 125,000 บาท แม้ไม่เกินสองแสนบาทก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง เพราะเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลจำนวน 3,125 บาท ที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์เป็นเงิน 18,750 บาท เกินมาจำนวน 15,625 บาท จึงให้คืนแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่โจทก์เสียเกินมาจำนวน 15,625 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากนั้นให้เป็นพับ.