แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ละเมิด ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++ แม้โจทก์จะมีชื่อและนามสกุลอย่างเดียวกันกับลูกหนี้ แต่ก็มีภูมิลำเนาต่างกัน ทั้งลูกหนี้ของจำเลยไม่เคยย้ายภูมิลำเนา อีกทั้งเมื่อโจทก์ติดต่อทนายความจำเลยแจ้งว่ามิได้เป็นหนี้ ทนายความจำเลยหรือจำเลยกลับยืนยันว่าเป็นหนี้ ถ้าไม่ชำระหนี้จะฟ้องร้องต่อศาล ทำให้โจทก์เกิดความกลัว จึงได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกหนังสือพิมพ์รายวันลงข่าวเผยแพร่ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปสอบสวนหามูลเหตุของข่าวการเป็นหนี้จำเลย และลงความเห็นว่าถ้าข่าวดังกล่าวเป็นจริงโจทก์จะถูกลงโทษ โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์ทางไกลติดต่อญาติพี่น้องเพื่อแจ้งความจริงให้ทราบ และได้ว่าจ้างทนายความได้ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าว ดังนี้ กรณีถือได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อหรือไม่ไยดีต่อผลแห่งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในภายหลังโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรทำการตรวจสอบเกี่ยวกับตัวลูกหนี้ของจำเลยเสียใหม่ตามที่โจทก์แจ้งให้ทนายความของจำเลยหรือจำเลยทราบแล้วว่าโจทก์มิใช่ลูกหนี้ของจำเลย รวมทั้งจำเลยยังได้ยืนยันที่จะฟ้องร้องโจทก์ต่อศาล จนเป็นเหตุให้โจทก์เกิดความกลัวและนำเรื่องไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนจนถูกหนังสือพิมพ์รายวันนำข่าวไปเผยแพร่ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นการกระทำต่อโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์เสียหาย พฤติการณ์จึงถือได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อันจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อการนั้นแล้ว ครบถ้วนด้วยองค์ประกอบแห่งความผิดเพื่อละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++
++
++ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รับฎีกาจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีปัญหาในชั้นฎีกาอันควรวินิจฉัยก็เฉพาะกรณีดังกล่าวเท่านั้น
++ จำเลยยกขึ้นเป็นข้อฎีกาความว่า ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังลูกหนี้ของจำเลยซึ่งมีชื่อและนามสกุลซ้ำกับโจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เข้าองค์ประกอบแห่งความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 โดยมีนัยเป็นอย่างเดียวกันกับอุทธรณ์ของจำเลย ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนมาด้วยว่า แม้โจทก์จะมีชื่อและนามสกุลอย่างเดียวกันกับลูกหนี้ของจำเลย แต่ก็มีภูมิลำเนาต่างกัน ทั้งลูกหนี้ของจำเลยไม่เคยย้ายภูมิลำเนาด้วย อีกทั้งเมื่อโจทก์ติดต่อทนายความจำเลยแจ้งว่ามิได้เป็นหนี้ แต่ทนายความจำเลยหรือจำเลยกลับยืนยันว่าเป็นหนี้ ถ้าไม่ดำเนินการชำระหนี้จะฟ้องร้องต่อศาล ทำให้โจทก์เกิดความกลัว จึงได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกหนังสือพิมพ์รายวัน คือ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ลงข่าวเผยแพร่ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปสอบสวนหามูลเหตุของข่าวการเป็นหนี้จำเลยและลงความเห็นว่า ถ้าข่าวดังกล่าวเป็นจริงโจทก์จะถูกลงโทษ ทั้งโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์ทางไกลติดต่อญาติพี่น้องเพื่อแจ้งความจริงให้ทราบ และได้ว่าจ้างทนายความให้ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าว
++ ดังนั้น เมื่อจำเลยฎีกาได้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายโดยไม่สามารถฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงดังกล่าวเนื่องจากทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาของจำเลยมีเพียง 25,000 บาทอันไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นและที่ศาลอุทธรณ์ได้ฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวนดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238ประกอบมาตรา 247
++ ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีถือได้ว่า จำเลยประมาทเลินเล่อ หรือไม่ไยดีต่อผลแห่งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในภายหลัง โดยไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรทำการตรวจสอบเกี่ยวกับตัวลูกหนี้ของจำเลยเสียใหม่ตามที่โจทก์แจ้งให้ทนายความจำเลยหรือจำเลยที่ทราบแล้วว่าโจทก์มิใช่ลูกหนี้ของจำเลย รวมทั้งจำเลยยังได้ยืนยันที่จะฟ้องร้องโจทก์ต่อศาล จนเป็นเหตุให้โจทก์เกิดความกลัวและนำเรื่องไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน มิหนำซ้ำยังถูกหนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับนำข่าวไปเผยแพร่ทั่วราชอาณาจักรอีก อันเป็นการกระทำต่อโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์เสียหาย พฤติการณ์จึงถือได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ อันจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อการนั้นแล้ว ครบถ้วนด้วยองค์ประกอบแห่งความรับผิดเพื่อละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ทุกประการ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ ๒ เป็นประธานกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทน เมื่อวันที่๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ จำเลยทั้งสองได้มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้และบังคับจำนองสองฉบับ โดยฉบับแรกอ้างว่าโจทก์ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและจำนองที่ดินเป็นประกันไว้กับจำเลยที่ ๑ ให้ชำระหนี้ที่ค้างชำระจำนวน๕,๒๓๖,๖๙๗.๑๙ บาท และฉบับที่สองอ้างว่าโจทก์ในฐานะผู้จำนองเป็นประกันให้ชำระหนี้ที่ค้างชำระจำนวน ๓,๒๗๗,๗๓๕.๖๘ บาท หลังจากโจทก์ได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ได้ติดต่อกับจำเลยทั้งสองว่าโจทก์ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและนำทรัพย์สินไปจำนอง แต่จำเลยทั้งสองก็ไม่ยินยอมและจะดำเนินคดีแก่โจทก์ อ้างว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยทั้งสองจริง ต่อมาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๕ได้ลงข่าวทั่วราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับจำเลยทั้งสองทวงหนี้โจทก์ใจความว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยทั้งสอง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทั้งที่โจทก์ไม่เคยเป็นหนี้และทำนิติกรรมใด ๆ กับจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ต้องทะเลาะกับภริยา ญาติพี่น้องกล่าวหาว่าโจทก์สร้างหนี้สินบุตรโจทก์ได้รับความอับอายไม่ไปโรงเรียน และโจทก์ต้องถูกผู้บังคับบัญชาเรียกตัวไปสอบสวนหามูลเหตุของข่าวการเป็นหนี้ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น ขาดความเชื่อถือในสังคมและเพื่อนฝูงในวงราชการ นอกจากนี้โจทก์ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการติดตามเรื่องเหล่านี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ๑๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยยังไม่ถือว่าสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ถูกโต้แย้งจึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยที่ ๑ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕จำเลย ๑ ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปยังลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ คือ นายสงัด บุญเสริมทรัพย์ กับนายประหยัด ประเสริฐสมและให้ชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมีการตรวจสอบภูมิลำเนาของลูกหนี้เพื่อจะได้ส่งหนังสือบอกกล่าวให้ถูกต้อง ซึ่งจำเลยทั้งสองเชื่อโดยสุจริตว่าลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาตามหลักฐานที่ได้รับจากสำนักงานกลางทะเบียนราษฎรจึงได้ส่งหนังสือบอกกล่าวไป โจทก์ได้รับหนังสือวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ต่อมาวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ โจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๕ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อจำเลยทั้งสองทราบจึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักงานกลางทะเบียนราษฎรอีกครั้งหนึ่งในวันที่๔ มีนาคม ๒๕๓๕ และทราบว่าโจทก์มีชื่อและนามสกุลซ้ำกับลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ ภายหลังจำเลยทั้งสองได้มีหนังสือขอโทษและชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังโจทก์ในวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๓๕ จำเลยทั้งสองมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หากแต่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว แต่การที่บุคคลมีชื่อและนามสกุลซ้ำกันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาเป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องเป็นดอกเบี้ยที่เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน๒๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖) ให้จำเลยที่ ๑ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เท่าที่ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๒,๐๐๐ บาท คำขออื่นให้ยก ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รับฎีกาจำเลยที่ ๑ เฉพาะข้อ ๓.๑ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงมีปัญหาในชั้นฎีกาอันควรวินิจฉัยก็เฉพาะกรณีดังกล่าวเท่านั้น โดยเรื่องนี้จำเลยที่ ๑ ยกขึ้นเป็นข้อฎีกาความว่า ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีชื่อและนามสกุลซ้ำกับโจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงยังไม่เข้าองค์ประกอบแห่งความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ โดยมีนัยเป็นอย่างเดียวกันกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ฉบับลงวันที่ ๑๐ มกราคม๒๕๓๙ ข้อ ๓.๑ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ก็ได้ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนมาด้วยว่า แม้โจทก์จะมีชื่อและนามสกุลอย่างเดียวกันกับลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ แต่ก็มีภูมิลำเนาต่างกัน ทั้งลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไม่เคยย้ายภูมิลำเนาด้วย อีกทั้งเมื่อโจทก์ติดต่อทนายความจำเลยที่ ๑ แจ้งว่ามิได้เป็นหนี้ แต่ทนายความจำเลยที่ ๑ หรือจำเลยที่ ๑ กลับยืนยันว่าเป็นหนี้ ถ้าไม่ดำเนินการชำระหนี้จะฟ้องร้องต่อศาล ทำให้โจทก์เกิดความกลัว จึงได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเป็นเหตุให้โจทก์ถูกหนังสือพิมพ์รายวัน คือ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๕ ลงข่าวเผยแพร่ไปทั่วราชอาณาจักร ทำให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปสอบสวนหามูลเหตุของข่าวการเป็นหนี้จำเลยที่ ๑ และลงความเห็นว่า ถ้าข่าวดังกล่าวเป็นจริงโจทก์จะถูกลงโทษ ทั้งโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์ทางไกลติดต่อญาติพี่น้องเพื่อแจ้งความจริงให้ทราบ และได้ว่าจ้างทนายความให้ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ฎีกาได้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย โดยไม่สามารถฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงดังกล่าวเนื่องจากทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาของจำเลยที่ ๑ มีเพียง ๒๕,๐๐๐ บาทอันไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นและที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ได้ฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวนดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๘ประกอบมาตรา ๒๔๗ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เช่นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีถือได้ว่า จำเลยที่ ๑ ประมาทเลินเล่อหรือไม่ไยดีต่อผลแห่งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ในภายหลังโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรทำการตรวจสอบเกี่ยวกับตัวลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ เสียใหม่ตามที่โจทก์แจ้งให้ทนายความจำเลยที่ ๑ หรือจำเลยที่ ๑ ทราบแล้วว่าโจทก์มิใช่ลูกหนี้ของจำเลยที่ ๑ รวมทั้งจำเลยที่ ๑ ยังได้ยืนยันที่จะฟ้องร้องโจทก์ต่อศาล จนเป็นเหตุให้โจทก์เกิดความกลัวและนำเรื่องไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน มิหนำซ้ำยังถูกหนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับนำข่าวไปเผยแพร่ทั่วราชอาณาจักรอีก อันเป็นการกระทำต่อโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์เสียหาย พฤติการณ์จึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์อันจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อการนั้นแล้วครบถ้วนด้วยองค์ประกอบแห่งความรับผิดเพื่อละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ ทุกประการคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน แต่ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ ให้เป็นพับ โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.