คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน หากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมเสียให้งดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และส่งคืนศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยสำนวน เพื่อดำเนินการต่อไป ปรากฏว่าจำเลยนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มเพียงฝ่ายเดียวส่วนโจทก์ที่ 1 ไม่ได้ชำระ ศาลชั้นต้นจึงให้งดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ ต่อมาทนายโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มออกไปอีก 20 วัน ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วอนุญาตให้โจทก์ที่ 1 นำเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระภายใน 20 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ต่อมาศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาในหนังสือ ส่งสำนวนคืน โดยยังมิได้แจ้งให้โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อน แต่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ผู้รับมอบฉันทะจากทนายจำเลยฟังและถือว่าโจทก์ทั้งสองทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว กรณีเช่นนี้ถือว่า ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการพิจารณาคดี ศาลฎีกาจึงมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาการที่ผิดระเบียบดังกล่าว และสั่งแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 246 และ 247

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกบริษัทรุ่งเรืองนครชัยก่อสร้าง จำกัด โจทก์ในสำนวนแรกและจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 1 เรียกธนาคารกรุงเทพ จำกัด จำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 และเรียกการสื่อสารแห่งประเทศไทย จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังว่า จำเลย
สำนวนแรกโจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องจำนวน 28,268,214.35 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 27,158,548.90 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์ที่ 1
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลัง จำเลยฟ้องขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,841,880.10 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 2,650,537.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 30 เมษายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทน โจทก์ที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 1 ชนะคดี คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยสำหรับโจทก์ที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างจำเลยกับโจทก์ที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์ที่ 1 และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินค่าจ้างที่ยึดหน่วงไว้จำนวน 671,098.90 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ 1 และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในคดีสำนวนหลัง ให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน หากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมเสียให้งดอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์และส่งคืนศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยสำนวนเพื่อดำเนินการต่อไป ปรากฏว่าจำเลยนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มเพียงฝ่ายเดียว ส่วนโจทก์ที่ 1 ไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นจึงให้ งดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ ต่อมาทนายโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องว่า หมายแจ้งวันนัดของศาลชั้นต้นไม่มีข้อความแจ้งให้ทนายโจทก์ที่ 1 ทราบว่าจะต้องชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่ม หรือแจ้งให้ มารับทราบคำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ที่สั่งเกี่ยวกับการเสียค่าขึ้นศาล เพิ่มแต่อย่างใด โจทก์ที่ 1 จึงไม่อาจทราบถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวได้ ขอขยายระยะเวลาชำระค่าขึ้น ศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มออกไปอีก 20 วัน ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วอนุญาตให้โจทก์ที่ 1 นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มมาชำระได้ภายใน 20 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในหนังสือส่งสำนวนคืนว่า นัดฟังคำพิพากษา โดยยังมิได้แจ้งให้โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อน แต่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ ผู้รับมอบฉันทะจากทนายจำเลยฟังและถือว่าโจทก์ทั้งสองทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว กรณีเช่นนี้ถือว่า ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการพิจารณาคดี ศาลฎีกาจึงมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าว และสั่งแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
พิพากษาให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ได้อ่านเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแจ้งให้โจทก์ที่ 1 ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อน เว้นแต่ได้ความว่าโจทก์ที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ก็ให้ศาลชั้นต้นแจ้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ที่ 1 มาดำเนินการแทน แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี กับให้ยกฎีกาของโจทก์ที่ 1 และจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมด ให้แก่โจทก์ที่ 1 และจำเลย ส่วนค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share