คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6499/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีของโจทก์ไปฝ่ายเดียว โดยศาลชั้นต้นส่ง คำบังคับให้จำเลยเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2540 โดยวิธีปิดคำบังคับ คำบังคับดังกล่าวมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลา 15 วัน ได้ล่วงพ้นไปแล้วนับตั้งแต่เวลาที่คำบังคับได้ปิดไว้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ดังนั้น คำบังคับจึงเริ่มมีผลใช้ได้ในวันที่ 5 มกราคม 2541 หากจำเลยจะขอให้พิจารณาใหม่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 208 กล่าวคือ วันสุดท้ายแห่งระยะเวลาที่จะยื่นได้คือวันที่ 20 มกราคม 2541 จำเลยได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อเกินกำหนด ระยะเวลาดังกล่าวไปแล้ว ทั้งในคำขอมิได้กล่าวอ้างถึงเหตุที่เป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้ไม่อาจยื่นคำขอได้ภายในกำหนด กลับกล่าวอ้างถึงเหตุที่จำเลยไม่ทราบว่าจะมาศาลวันไหน ไม่ทราบว่าจะต้องแต่งตั้งทนายความเข้ามาใหม่ในวันที่ศาลนัดพิจารณา เนื่องจากทนายจำเลยคนเดิมขอถอนตัว เหตุดังกล่าวเป็นเหตุที่อาจแสดงว่าจำเลย มิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเท่านั้น มิใช่เหตุที่เป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่ง ยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเสียโดยไม่จำเป็นต้องไต่สวน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องบังคับจำนองขอให้จำเลยชำระหนี้จำนวน ๑,๘๗๐,๔๐๕.๙๑ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘.๕๐ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เพื่อไถ่ถอนจำนอง จำเลยให้การต่อสู้คดี แต่ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายความจำเลยขอถอนตัว ศาลชั้นต้นให้เลื่อนคดีแล้วหมายแจ้ง วันนัดสืบพยานโจทก์และแจ้งการถอนตัวของทนายความจำเลยให้จำเลยทราบ ครั้งถึงวันนัดจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา ให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวและพิพากษาให้บังคับจำนองโดยให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้อง แล้วออกคำบังคับและปิดคำบังคับที่ภูมิลำเนาของจำเลยเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๐
ครั้นวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๑ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างว่า จำเลยไม่ทราบว่าทนายความจำเลยขอถอนตัว จึงมิได้ตั้งทนายความคนใหม่เข้ามาต่อสู้คดี จำเลยมิได้จงใจไม่มาศาล หากจำเลยมีโอกาสนำพยานเข้าสืบแล้วจะสามารถ หักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และคำพิพากษาอาจเปลี่ยนแปลงได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวถึงแต่เหตุที่จำเลยขาดนัดพิจารณา แต่มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคสอง ให้ยกคำร้อง
ต่อมาวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๑ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า จำเลยไม่ทราบว่าทนายความจำเลยขอถอนตัว จึงมิได้ตั้งทนายความคนใหม่เข้ามาต่อสู้คดี จำเลยเคยชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้ง แต่โจทก์มิได้คิดหักทอนบัญชี ทำให้หนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้อง หากจำเลยมีโอกาสนำสืบจะสามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำขอเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคหนึ่ง ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดี ของโจทก์ไปฝ่ายเดียว โดยศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้จำเลยเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๐ โดยวิธีปิดคำบังคับ คำบังคับ ดังกล่าวมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลา ๑๕ วัน ได้ล่วงพ้นไปแล้วนับตั้งแต่เวลาที่คำบังคับได้ปิดไว้ ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗๙ วรรคสอง ดังนั้น คำบังคับจึงเริ่มมีผลใช้ได้ในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๑ หาใช่เริ่มมีผล ใช้ได้ในวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๑ ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ เพราะฉะนั้นหากจำเลยจะขอให้พิจารณาใหม่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ กล่าวคือ ต้องยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นภายใน ๑๕ วัน นับจากวันส่งคำบังคับ ในกรณีนี้ก็คือภายใน ๑๕ วันนับจากวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๑ วันสุดท้ายแห่งระยะเวลา ที่จะยื่นได้คือวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๑ หากกำหนด ๑๕ วันที่วางไว้เป็นหลักนี้ จำเลยไม่อาจยื่นคำขอได้ก็มีข้อยกเว้นอยู่ ๒ กรณีคือ กรณีแรกหากไม่อาจยื่นคำขอโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จำเลยก็อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง และกรณีสุดท้าย ไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้น ๖ เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น กรณีของจำเลยได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ๒ ครั้ง ครั้งแรกยื่นเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๑ และครั้งที่ ๒ คือครั้งที่เป็นปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกานี้ ยื่นเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๑ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ยื่นครั้งที่ ๒ นี้ จึงเกินกำหนดระยะเวลา ๑๕ วัน ที่วางไว้เป็นหลักไปแล้ว ทั้งในคำขอมิได้กล่าวอ้างถึงเหตุที่เป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้ไม่อาจยื่นคำขอได้ภายในกำหนดวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๑ แต่อย่างใดเลย กลับกล่าวอ้างถึงเหตุที่จำเลย ไม่ทราบว่าจะมาศาลวันไหน ไม่ทราบว่าจะต้องแต่งตั้งทนายความเข้ามาใหม่ในวันที่ศาลนัดพิจารณา เนื่องจากทนายจำเลยคนเดิมขอถอนตัว ซึ่งเหตุดังกล่าวแม้หากเป็นความจริงดังอ้างก็เป็นเหตุที่อาจแสดงว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเท่านั้น มิใช่เหตุที่เป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดเวลา ๑๕ วัน ที่กฎหมายบังคับไว้แต่อย่างใด จึงไม่เข้ากรณีข้อยกเว้นของกฎหมาย ระยะเวลา ๖ เดือน ที่จำเลยอ้างมา ในฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้จึงเกิดขึ้นไม่ได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเสียได้โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share