แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ฯ ได้กำหนดบุคคลผู้ที่จะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนอันเนื่องมาจากการดำเนินการเพื่อการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไว้ในมาตรา 18 (1) ถึง (6) แยกไว้ต่างหากจากกัน การดำเนินการเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์รายการเดียวก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลหลายฝ่าย อันเป็นเหตุให้เกิดสิทธิแก่บุคคลหลายคนที่จะได้รับเงินค่าทดแทนแยกต่างหากจากกันได้
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินก่อสร้างตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างมีกำหนด 30 ปี เพื่อนำไปให้บุคคลภายนอกเช่าช่วงภายในกำหนดระยะเวลาที่เช่า และโจทก์มีหน้าที่บำรุงรักษาตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเพื่อส่งมอบให้แก่เจ้าของที่ดินเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเช่าแล้วขณะที่ พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืน ฯ มีผลใช้บังคับ โจทก์คงเป็นเจ้าของตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง จึงจัดเป็นบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 (2) แม้ในขณะที่มีการดำเนินการเพื่อเวนคืนตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องยังไม่ได้ตกเป็นของเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินจึงไม่ใช่บุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนตามมาตรา 18 (1) ถึง (6) ก็ตาม แต่เมื่อครบกำหนด 30 ปี ตามสัญญาเช่าที่ดิน ตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องจะตกเป็นของเจ้าของที่ดินทันที จึงถือได้ว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าหนี้โจทก์ในหนี้ที่โจทก์จะต้องส่งมอบตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องให้แก่เจ้าของที่ดิน เมื่อตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องถูกเวนคืนไปเสียก่อนที่จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินอันเป็นผลให้ได้เงินค่าทดแทนมาจากการเวนคืน เงินค่าทดแทนนี้จึงเป็นทรัพย์สินซึ่งเข้าแทนที่ตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 226 วรรคสอง และ 228 วรรคหนึ่ง จำเลยซึ่งมีหน้าที่จ่ายเงินค่าทดแทนจึงต้องแจ้งการกำหนดเงินค่าทดแทนและการที่จะใช้เงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินทราบตาม ป.พ.พ. มาตรา 231 เมื่อเจ้าของที่ดินไม่สามารถจะตกลงกับโจทก์ได้ โจทก์และเจ้าของที่ดินต่างฝ่ายต่างมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้นำเงินจำนวนนั้นไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์อันร่วมกัน เว้นแต่โจทก์จะหาประกันไว้ให้ตามสมควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 232 ดังนั้น ที่ฝ่ายจำเลยให้โจทก์กับเจ้าของที่ดินตกลงเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทนกันให้ได้แล้วจึงมีสิทธิที่จะตกลงทำสัญญารับเงินค่าทดแทนจากฝ่ายจำเลยได้นั้นเป็นการดำเนินที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อโจทก์กับเจ้าของที่ดินตกลงกันไม่ได้ จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่ไม่อาจจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนรายใดได้เพราะมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่น ๆ ในอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืน ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนจึงวางเงินค่าทดแทนได้ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ มาตรา 28 วรรคสอง กรณีเช่นนี้ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนทั้งหมดไปเพียงผู้เดียว
ผู้เช่าช่วงซึ่งเป็นผู้เช่าตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ จัดเป็นบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 (3) และเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืนอันมีสิทธิได้เงินค่าทดแทนสำหรับความเสียหายนั้นตามมาตรา 21 วรรคท้าย สิทธิของผู้เช่าตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแยกต่างหากจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวและสิ่งปลูกสร้าง และแยกต่างหากจากเจ้าของที่ดิน ดังนั้น ที่ฝ่ายจำเลยกำหนดเงินค่าทดแทนเบื้องต้นให้แก่ผู้เช่าช่วงรวมกันกับโจทก์และเจ้าของที่ดินเป็นเงินจำนวนหนึ่งในลักษณะกรรมสิทธิ์รวม และนำเงินค่าทดแทนเบื้องต้นดังกล่าวไปฝากไว้ต่อธนาคารออมสินในนามของโจทก์กับเจ้าของที่ดินและผู้เช่าช่วงรวมกันจึงไม่ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างแต่เพียงผู้เดียว และให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 207,999,659.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 171,546,111 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ อุทธรณ์โจทก์ไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 1075 ตำบลประแจจีน อำเภอดุสิต กรุงเทพมหานคร จากนายชลอและนางแฉล้ม จามรมาน เพื่อก่อสร้างตึกแถวและโรงภาพยนตร์ตลอดจนสิ่งก่อสร้างประการอื่น ๆ มีกำหนดสัญญาการเช่า 30 ปี โจทก์ได้ก่อสร้างเสร็จแล้วให้บุคคลภายนอกเช่าช่วง และโจทก์มีหน้าที่บำรุงรักษาตึกแถวและโรงภาพยนตร์ตลอดจนสิ่งก่อสร้างประการอื่น ๆ ให้คงสภาพใช้การได้ดี ระหว่างที่ยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาการเช่ามี พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตดุสิต… พ.ศ. 2534 กำหนดให้ที่ดินแปลงที่โจทก์เช่าจากนายชลอและนางแฉล้มอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืน คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น ฯ ได้กำหนดเงินค่าทดแทนสำหรับตึกแถวและโรงภาพยนตร์ตลอดจนสิ่งก่อสร้างประการอื่น ๆ ที่รื้อถอนไปไม่ได้ให้แก่โจทก์และผู้เช่าช่วงกับนายชลอและนางแฉล้ม และจำเลยได้นำเงินค่าทดแทนดังกล่าวไปวางไว้ที่ธนาคารออมสินโดยบางรายการวางไว้ในนามของโจทก์กับเจ้าของที่ดินและผู้เช่าช่วง บางรายการวางไว้ในนามโจทก์กับเจ้าของที่ดิน บางรายการวางไว้ในนามโจทก์กับผู้เช่าช่วง โจทก์อุทธรณ์ขอให้กำหนดเงินค่าทดแทนทั้งหมดจำนวน 175,687,111 บาท โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2536 ต่อมาวันที่ 4 พฤศจิกายน 2537 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้จ่ายเงินค่าทดแทนสำหรับตึกแถวและโรงภาพยนตร์ตลอดจนสิ่งก่อสร้างประการอื่น ๆ ที่รื้อถอนไม่ได้ และเงินค่าทดแทนความเสียหายที่ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ให้แก่โจทก์แต่เพียงผู้เดียว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนตามฟ้องให้แก่โจทก์เพียงผู้เดียวได้หรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ได้กำหนดบุคคลผู้ที่จะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนอันเนื่องจากการดำเนินการเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไว้ในมาตรา 18 (1) ถึง (6) แยกไว้ต่างหากจากกัน การดำเนินการเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์รายการเดียวก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลหลายฝ่ายได้ อันเป็นเหตุให้เกิดสิทธิแก่บุคคลหลายคนที่จะได้รับเงินค่าทดแทนแยกต่างหากจากกันได้
คดีนี้เป็นการดำเนินการเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษ ขณะที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับโจทก์ยังคงเป็นเจ้าของตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง จึงจัดเป็นบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 (2) แม้ในขณะที่มีการดำเนินการเพื่อเวนคืนตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง ตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องยังไม่ได้ตกเป็นของเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินจึงไม่ใช่บุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 (1) ถึง (6) ก็ตาม แต่เมื่อครบกำหนด 30 ปี ตามสัญญาเช่าที่ดินนั้น ตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องจะตกเป็นของเจ้าของที่ดินทันที จึงถือได้ว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าหนี้โจทก์ในหนี้ที่โจทก์จะต้องส่งมอบตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องให้แก่เจ้าของที่ดินเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าที่ดิน เมื่อตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องถูกเวนคืนไปเสียก่อนที่จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน อันเป็นผลให้ได้เงินค่าทดแทนมาจากการเวนคืน เงินค่าทดแทนนี้จึงเป็นทรัพย์สินซึ่งเข้าแทนที่ตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องที่ถูกเวนคืนไปในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 226 วรรคสอง และ 228 วรรคหนึ่ง ฝ่ายจำเลยซึ่งมีหน้าที่จ่ายเงินค่าทดแทนตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องจึงต้องแจ้งการกำหนดเงินค่าทดแทนทรัพย์สินดังกล่าว และการที่จะใช้เงินค่าทดแทนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่เจ้าของที่ดินทราบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 231 และเมื่อเจ้าของที่ดินไม่สามารถจะตกลงกับโจทก์ได้ กรณีเช่นนี้โจทก์และเจ้าของที่ดินต่างฝ่ายต่างมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้นำเงินจำนวนนั้นไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์อันร่วมกัน เว้นแต่โจทก์จะหาประกันให้ไว้ตามสมควร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 232 ดังนั้น ที่ฝ่ายจำเลยให้โจทก์กับเจ้าของที่ดินตกลงเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทนกันให้ได้แล้ว จึงมีสิทธิที่จะตกลงทำสัญญารับเงินค่าทดแทนจากฝ่ายจำเลยได้นั้น เป็นการดำเนินที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อโจทก์กับเจ้าของที่ดินตกลงกันเรื่องเงินค่าทดแทนตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องไม่ได้ จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่ไม่อาจจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนรายใดได้ เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่น ๆ ในอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืน ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนจึงวางเงินค่าทดแทนได้ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 28 วรรคสอง กรณีเช่นนี้ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดไปเพียงผู้เดียว
ส่วนกรณีของผู้เช่าช่วงซึ่งเป็นผู้เช่าตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องจากโจทก์จัดเป็นบุคคลผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 (3) และเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืน อันมีสิทธิได้เงินค่าทดแทนสำหรับความเสียหายนี้ตามมาตรา 21 วรรคท้าย ด้วย สิทธิของผู้เช่าตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องที่จะได้รับเงินค่าทดแทนดังกล่าวนั้น แยกต่างหากจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง และแยกต่างหากจากเจ้าของที่ดินด้วย ดังนั้น ที่ฝ่ายจำเลยกำหนดเงินค่าทดแทนเบื้องต้นอันเนื่องมาจากการเวนคืนตึกและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องให้แก่ผู้เช่าตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องรวมกันกับโจทก์และเจ้าของที่ดินเป็นจำนวนหนึ่งในลักษณะกรรมสิทธิ์รวม และนำเงินค่าทดแทนเบื้องต้นดังกล่าวไปฝากไว้ต่อธนาคารออมสินในนามของโจทก์กับเจ้าของที่ดินและผู้เช่าช่วงร่วมกันจึงไม่ถูกต้อง
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.