แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยแถลงยืนยันต่อศาลชั้นต้นว่า ยังติดใจสืบพยานอีกเพียงปากเดียวก็เป็นอันหมดพยานจำเลย และขอส่งประเด็นไปสืบพยานปากนี้ที่ศาลจังหวัดเลย โดยไม่ขอเลื่อนคดีไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น ศาลจึงอนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานดังกล่าว การที่ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม โดยอ้างว่าโจทก์ให้จำเลยยืนยันยอดหนี้ที่ค้างชำระกับโจทก์ตามเอกสารที่ส่งมาให้จำเลยนั้น ไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีที่จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้ เพราะจำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอม คดีจึงไม่มีประเด็นว่ายอดหนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องถูกต้องหรือไม่ พยานหลักฐานของจำเลยดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้ชักช้า และไม่เป็นประเด็นที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมและไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานจำเลยเข้าสืบต่อไป จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระเงิน 20,969,134.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงิน 18,662,323 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระ หรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,969,134.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงิน 18,662,923.23 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 เมษายน 2538) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1980 ตำบลเสม็ด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 278 ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1143 ตำบลตะกรบ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1430, 1431, 1434 ตำบลสามร้อยยอด อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากได้เงินไม่พอ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 50,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 25,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และให้งดสืบพยานจำเลยนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ในรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 14 กรกฎาคม 2540 จำเลยแถลงว่า “แต่ยังติดใจสืบพยานปากพันตำรวจโทศักดิ์รพีอีกเพียงปากเดียวเท่านั้น และขอส่งประเด็นไปสืบพยานปากนี้ที่ศาลจังหวัดเลย
โดยมิให้เลื่อนคดีไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น หากคู่ความขอเลื่อนคดีให้รีบส่งประเด็นคืนศาลเดิม
” ซึ่งแสดงว่าจำเลยยังติดใจสืบพยานจำเลยเพียงปากเดียวคือ พันตำรวจโทศักดิ์รพีเท่านั้น ก็เป็นอันหมดพยานจำเลย ศาลจึงอนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานปากพันตำรวจโทศักดิ์รพี ซึ่งถ้าจำเลยไม่แถลงยืนยันเช่นนั้นแล้ว ศาลคงไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบพยานปากพันตำรวจโทศักดิ์รพี เพราะคดีมีการส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ศาลอื่นซึ่งทำให้คดีล่าช้ามากอยู่แล้ว ดังนั้น ต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 ที่จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 โดยอ้างว่าโจทก์ให้จำเลยยืนยันยอดหนี้ที่ค้างชำระกับโจทก์ตามเอกสารที่ส่งมาให้จำเลยนั้น จึงไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีที่จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้เลย เพราะเมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอมแล้วก็ไม่มีประเด็นที่ว่ายอดหนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องถูกต้องหรือไม่ ข้ออ้างตามคำร้องดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นพยานหลักฐานที่มีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้ชักช้าเท่านั้น และไม่เป็นประเด็นที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานจำเลยเข้าสืบต่อไป จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาศาลละ 1,500 บาท แก่โจทก์