แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ไป ไม่เหมาะสมกับสภาพทรัพย์ เท่ากับอ้างว่าราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์มีจำนวนต่ำเกินสมควรตามบทบัญญัติมาตรา 309 ทวิ วรรคสอง แห่ง ป.วิ.พ. แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.พ. (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542 ซึ่งมี ผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2542 จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 13 พฤษภาคม 2542 ภายหลังจากบทบัญญัติมาตรา 309 ทวิ มีผลบังคับใช้แล้ว คำร้องของจำเลยจึงอยู่ภายใต้บังคับของวรรคสี่แห่งบทบัญญัติมาตราดังกล่าวซึ่งบัญญัติให้คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุด จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้ชำระหนี้และบังคับจำนอง โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตกลงร่วมกันชำระเงิน ๑๓,๒๔๒,๗๓๙.๗๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์เพื่อไถ่ถอนจำนอง ส่วนจำเลยที่ ๓ ตกลงร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชำระเงินตามฟ้อง ๑๑,๐๓๕,๖๑๖.๔๔ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ โดยจำเลยทั้งสามตกลงจะชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยบังคับจำนองยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๑๘๓ และ ๓๕๒๔๘ พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระยินยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีไปตามยอม เมื่อครบกำหนดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์จำนองดังกล่าวซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๑ และขายทอดตลาดให้แก่โจทก์ไปในราคา ๕,๙๙๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างเหตุว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายในราคาไม่เหมาะสมกับสภาพทรัพย์ โดยขาย ในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ ๑ เมื่อถึงวันนัดโจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงกัน โดยโจทก์ยินยอมให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดเพื่อนำที่ดินทั้งสองแปลงและสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดใหม่ โดยจำเลยที่ ๑ จะหาบุคคลมาสู้ราคาในการขายทอดตลาดครั้งใหม่ หากจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถหาบุคคลมาสู้ราคาในราคาที่สูงกว่าที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตให้ขายแล้ว จำเลยที่ ๑ ยินยอมให้โจทก์ดำเนินการขายทอดตลาดไปให้เสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ต่อมาได้มีการขายทอดตลาดใหม่ โจทก์เสนอราคา ๕,๙๙๐,๐๐๐ บาท ฝ่ายจำเลยที่ ๑ ไม่ได้นำบุคคลอื่นมาสู้ราคา เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าไม่มีผู้เสนอราคาสูงกว่าที่โจทก์เสนอจึงขาย ให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าราคาที่ขายให้โจทก์ไม่เหมาะสม กับสภาพทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ไปไม่เหมาะสมกับสภาพทรัพย์ เท่ากับอ้างว่าราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ มีจำนวนต่ำเกินสมควรตามบทบัญญัติมาตรา ๓๐๙ ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๒ กรณีนี้จำเลยที่ ๑ ยื่นฎีกาวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒ ภายหลังจากบทบัญญัติมาตรา ๓๐๙ ทวิ มีผลบังคับใช้แล้ว คำร้องของจำเลยที่ ๑ จึงอยู่ภายใต้บังคับของวรรคสี่ แห่งบทบัญญัติมาตราดังกล่าวซึ่งบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้เป็นที่สุด ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ ๑ และศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ย่อมเป็นที่สุดตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ ๑ มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ ๑ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยที่ ๑.