แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นภริยา ฉ.ผู้ตายอันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5แสดงตนต่อโรงพยาบาลจำเลยที่ 1 เพื่อขอรับศพผู้ตาย โดยแสดงหลักฐานเพียงใบแทนบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ 3 เท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นตามระเบียบของโรงพยาบาลจำเลยที่ 1 ที่แจ้งให้โจทก์นำมาแสดงไม่มี แต่โรงพยาบาลจำเลยที่ 1กลับมอบศพผู้ตายให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไป เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ไม่มีสิทธิในการรับศพผู้ตายออกจากโรงพยาบาลจำเลยที่ 1 อย่างไร อันจะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับศพผู้ตายไป จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
ส่วนคำฟ้องของโจทก์ที่กล่าวอ้างว่า จำเลย 2 ถึงที่ 4 นำศพผู้ตายใส่ในโลงที่โจทก์เป็นผู้เตรียมมานำออกไปจากโรงพยาบาลจำเลยที่ 1 หากฟังได้เป็นความจริงย่อมเป็นการเอาโลงดังกล่าวไปโดยไม่มีสิทธิ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตามคำฟ้องส่วนนี้ แต่โลงที่โจทก์กล่าวอ้างมีราคาเพียง 4,000 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ศาลฎีกาเห็นสมควรให้โจทก์นำคดีส่วนนี้ไปฟ้องยังศาลแขวงที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของนายฉลอง เศวตนันทน์ ผู้ตายเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๘ โจทก์นำผู้ตายเข้ารักษา ณ โรงพยาบาลจำเลยที่ ๑ และผู้ตายถึงแก่ความตายในวันเดียวกัน เมื่อโจทก์ขอรับศพผู้ตายโดยเตรียมหลักฐานเอกสารต่างๆตามระเบียบการนำศพออกจากโรงพยาบาล จำเลยที่ ๑ อ้างว่า ต้องให้โจทก์นำหลักฐานต้นฉบับใบสำคัญการสมรสไปแสดงด้วยจึงจะรับศพได้ ปรากฏว่า ในระหว่างที่โจทก์กลับไปนำต้นฉบับใบสำคัญการสมรส จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ไปแสดงตนต่อจำเลยที่ ๑ขอรับศพผู้ตายโดยแสดงหลักฐานเพียงใบแทนบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ ๓(ใบรับคำขอมีบัตร มีบัตรใหม่หรือขอเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน) ต่อจำเลยที่ ๑เท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นตามระเบียบของจำเลยที่ ๑ ที่แจ้งให้โจทก์นำไปแสดงไม่มีแต่จำเลยที่ ๑ กลับมอบศพผู้ตายให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ แล้วจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ นำศพผู้ตายใส่ในโลงที่โจทก์เป็นผู้เตรียมมานำออกจากโรงพยาบาลไป โจทก์ติดต่อทวงถามให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำดังกล่าว แต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย โจทก์ได้รับความเสียหาย กล่าวคือ โจทก์ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ตายไปเป็นเงิน ๔,๓๖๕ บาท ค่าซื้อโลงเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท ค่าจองวัดเมืองมางเพื่อจัดงานศพและเตรียมซื้อดอกไม้สดและอุปกรณ์ต่างๆ ในการจัดงานศพเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทการกระทำของจำเลยทั้งห้าดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายต่อชื่อเสียงของโจทก์ ซึ่งโจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และการกระทำของจำเลยทั้งห้าทำให้โจทก์เสื่อมเสียสุขภาพจิต โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทรวมค่าเสียหายที่จำเลยทั้งห้าต้องชดใช้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น ๗๒๘,๓๖๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๘คิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย ๔๙,๒๓๙.๔๖ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งห้าต้องชำระให้โจทก์จำนวน ๗๗๗,๖๐๔.๔๖ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน๗๗๗,๖๐๔.๔๖ บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน๗๒๘,๓๖๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘ ประกอบมาตรา๑๗๒ ให้รับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีที่ศาลชั้นต้นรับฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้ว โดยคำพิพากษาศาลฎีกาส่วนคดีนี้ปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์ภาค ๒มีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ ๕ ให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๕ออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ภาค ๒
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ชอบหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ แสดงตนต่อโรงพยาบาลจำเลยที่ ๑ เพื่อขอรับศพนายฉลอง เศวตนันทน์ ผู้ตาย โดยแสดงหลักฐานเพียงใบแทนบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยที่ ๓ เท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นตามระเบียบของโรงพยาบาลจำเลยที่ ๑ ที่แจ้งให้โจทก์นำมาแสดงไม่มี แต่โรงพยาบาลจำเลยที่ ๑กลับมอบศพผู้ตายให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ โดยมีจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ลงลายมือชื่อรับศพไปนอกจากนั้นจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ได้นำศพผู้ตายใส่ในโลงที่โจทก์เป็นผู้เตรียมมานำออกไปจากโรงพยาบาลจำเลยที่ ๑ ก่อนที่โจทก์จะกลับมา ดังนี้ เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ไม่มีสิทธิในการรับศพผู้ตายออกจากโรงพยาบาลจำเลยที่ ๑ อย่างไร อันจะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ รับศพผู้ตายไป จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่โจทก์กล่าวอ้างว่าต้องจองวัดและซื้ออุปกรณ์เพื่อจัดงานศพเป็นเงิน๒๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงของโจทก์เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายต่อสุขภาพจิตของโจทก์เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท คงมีเฉพาะคำฟ้องของโจทก์ส่วนที่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ นำศพผู้ตายใส่ในโลงที่โจทก์เป็นผู้เตรียมมานำออกไปจากโรงพยาบาลจำเลยที่ ๑ ซึ่งหากฟังได้เป็นความจริงย่อมเป็นการเอาโลงดังกล่าวไปโดยไม่มีสิทธิ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ถึงที่ ๔ ตามคำฟ้องส่วนนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ทั้งหมดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่โลงที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เป็นผู้เตรียมมามีราคาเพียง ๔,๐๐๐ บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง สมควรให้โจทก์นำคดีส่วนนี้ไปฟ้องยังศาลแขวงที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไป
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องเฉพาะส่วนที่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ นำศพผู้ตายใส่ในโลงที่โจทก์เป็นผู้เตรียมมานำออกไปจากโรงพยาบาลไปฟ้องยังศาลแขวงภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา.