แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 13 บัญญัติห้ามเฉพาะการผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2เท่านั้นว่ามีความผิดและมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 89 และตามมาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า ‘ ขาย ‘ ว่าหมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายตามนัยแห่งพระราชบัญญัตินี้จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน
จำเลยขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ 2 เม็ด และต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันตรวจค้นได้จากตัวจำเลยอีก 4 เม็ด วัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวทั้ง 6 เม็ดจึงเป็นจำนวนเดียวกัน ที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวคือการขาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจมีวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นเกลือของแอมเฟตามีนจำนวน 6 เม็ดไว้ในความครอบครองเพื่อขายซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และจำเลยได้ขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ดให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ โดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยวัตถุออกฤทธิ์จำนวน 6 เม็ด และจำเลยบังอาจมีกัญชาแห้งอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในความครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายจำนวน 1 ห่อเล็ก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4,6, 13, 62, 89, 106, 116 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 26, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91
จำเลยให้การรับว่ามีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในความครอบครองจริงแต่มิได้มีไว้เพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทให้แก่สายลับและจำเลยมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทเพื่อขาย ส่วนข้อหาฐานมีกัญชาฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีไว้ในครอบครอง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4,13, 89 ให้จำคุกจำเลยฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและจำคุกฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ของกลางให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 13, 62, 89, 106จำคุกฐานขายวัตถุออกฤทธิ์และจำคุกฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองข้อหาฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม มาตรา 13, 89 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงห้าแสนบาท ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองธรรมดามีกำหนดหนึ่งปีเป็นการคลาดเคลื่อน
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้ใช้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย จำเลยได้จำหน่ายให้ 2 เม็ด สายลับได้นำวัตถุออกฤทธิ์ที่ซื้อมามอบให้ร้อยตำรวจเอกวุฒิ ร้อยตำรวจเอกวุฒิเข้าไปตรวจพบวัตถุออกฤทธิ์อีก 4 เม็ดที่ตัวจำเลยพร้อมด้วยธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อของกลางจึงเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่จำเลยขายและมีไว้เพื่อขาย แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อหาฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า จำเลยมีความผิดและลงโทษจำคุก 5 ปี โจทก์จำเลยไม่ฎีกา ข้อหาฐานขายจึงเป็นอันยุติปัญหาในชั้นฎีกามีว่า วัตถุออกฤทธิ์จำนวน 6 เม็ดจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นความผิดตามมาตรา 13 หรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 บัญญัติห้ามเฉพาะการผลิต ขาย นำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 เท่านั้นว่ามีความผิดและบทกำหนดโทษตามมาตรา 89 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ขาย” ว่าหมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายตามนัยแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน คดีนี้ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุก่อนที่จะมีการจับกุมจำเลย เจ้าพนักงานตำรวจได้ใช้ให้สายลับไปล่อซื้อวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีน (ยาม้า) จากจำเลย และจำเลยได้ขายให้มา 2 เม็ด แล้วต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันนั้นเองเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งคอยอยู่ใกล้ ๆ จึงเข้าไปตรวจค้นบ้านจำเลยและได้มาอีก 4 เม็ดอย่างเดียวกับที่ให้สายลับไปล่อซื้อในกระเป๋าสตางค์ที่ตัวจำเลยและได้ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อคืนมาด้วย วัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ดที่จำเลยขายให้แก่สายลับกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นได้จากจำเลยอีก 4 เม็ด รวมทั้งสิ้นเป็น 6 เม็ดจึงเป็นวัตถุออกฤทธิ์จำนวนเดียวกันที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวคือการขายนั่นเอง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 13, 89 เพียงกระทงเดียว