คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8875/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ได้ระบุถึงตัวบุคคลซึ่งเป็นโจทก์ผู้ยื่นคำฟ้องไว้โดยแจ้งชัดว่า คือ ธ. มิใช่ธนาคารและบรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาว่า เป็นเรื่องกู้ยืมเงินโดยโจทก์เป็นผู้ให้จำเลยกู้เงินไปและกล่าวถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นว่า จำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนโจทก์จึงมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยก็สามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้อง และจำเลยทราบดีอยู่ว่าโจทก์มีสภาพเป็นบุคคลธรรมดามิใช่เป็นนิติบุคคลมาแต่ต้น การที่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีคำว่าธนาคารโจทก์อยู่ด้วยเป็นเพียงการพิมพ์ผิดพลาดไป ไม่ทำให้จำเลยถึงกับไม่เข้าใจคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินยืมพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน ๑๐,๓๘๐.๑๓ บาท ให้แก่ธนาคารโจทก์และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยทั้งสามไม่ได้กู้เงินโจทก์ไปตามฟ้อง สัญญากู้เงินตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพราง โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้อง (ที่ถูกดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง) ต้องไม่เกิน ๓๘๐.๑๓ บาท กับให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๘๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะฟ้องโจทก์ระบุว่านายธรรมนูญ ทองนุ่น เป็นโจทก์ แต่ในคำขอท้ายฟ้องกลับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารโจทก์ ทำให้จำเลยทั้งสามไม่เข้าใจคำฟ้องและคำขอบังคับของโจทก์ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้ระบุถึงตัวบุคคลซึ่งเป็นโจทก์ผู้ยื่นคำฟ้องไว้โดยแจ้งชัดว่า คือนายธรรมนูญ ทองนุ่น และบรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาว่า เป็นเรื่องกู้ยืมเงินโดยโจทก์เป็นผู้ให้จำเลยทั้งสามกู้เงินไปจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท และกล่าวถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นว่า จำเลยทั้งสามไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสามชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามก็สามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องว่า โจทก์เป็นผู้นำเงินจำนวนที่อ้างว่าให้กู้ยืมมาลงหุ้นในกองทุนสวัสดิการผู้บริหารสำนักงานการประถมศึกษา อำเภอบันนังสตา และจำเลยทั้งสามในฐานะกรรมการของกองทุนดังกล่าวได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินตามฟ้องเพื่อเป็นหลักฐานว่าโจทก์ได้นำเงินมาลงหุ้นเท่าใด ส่อแสดงว่าจำเลยทั้งสามทราบดีอยู่ว่าโจทก์มีสภาพเป็นบุคคลธรรมดามิใช่เป็นนิติบุคคลมาแต่ต้น การที่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีคำว่าธนาคารโจทก์อยู่ด้วยนั้น คงเป็นเพียงการพิมพ์ผิดพลาดไป ไม่ทำให้จำเลยทั้งสามถึงกับไม่เข้าใจคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น…
พิพากษายืน.

Share