คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฎีกา ความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายพ้นกำหนดหนึ่งปีแล้วไม่ปรากฏว่าผู้ใดมีคำขอเข้าเป็นคู่ความแทน หรือคู่ความฝ่ายใดมีคำขอให้ศาลหมายเรียกผู้ใดเข้าเป็นคู่ความแทนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 จึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 เสียจากสารบบความของศาลฎีกา
ก่อนชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาทโดยให้เจ้าพนักงานที่ดินระบุรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขต ที่ดินพิพาท รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งเพาะปลูกบนดินรวมทั้งสิ่งอื่นใดตามที่เจ้าพนักงานที่ดินเห็นสมควร เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาคดี เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จแล้ว ศาลได้ให้คู่ความทั้งสองฝ่ายตรวจดู ต่างรับรองว่าแผนที่พิพาทถูกต้องและอ้างเป็นพยานร่วมกันและคู่ความได้ท้ากันว่า ให้ถือเอาคำเบิกความของ ส. เจ้าพนักงานที่ดินผู้จำลอง แผนที่พิพาทเป็นข้อแพ้ชนะในคดี หาก ส. นำแผนที่พิพาทเปรียบเทียบกับรูปจำลองแผนที่ของที่ดินซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แล้ว ส. เห็นว่าหรือน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตตามแผนที่พิพาทส่วนที่โจทก์นำชี้หรือส่วนที่จำเลยนำชี้เส้นแนวเขตไหนน่าจะเป็นเขตที่ถูกต้องคู่ความยอมรับตามนั้น หากเส้นแนวเขตที่โจทก์นำชี้ถูกต้อง จำเลยยอมแพ้คดี หากส่วนที่จำเลยนำชี้ถูกต้องโจทก์ยอมแพ้คดีและคู่ความต่างแถลงสละประเด็นข้อพิพาททั้งหมด ต่อมา ส. เบิกความต่อศาลว่าน่าเชื่อว่า เส้นแนวเขตตามแผนที่พิพาทส่วนที่จำเลยนำชี้น่าจะเป็นแนวเขตที่ถูกต้อง การที่โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้ถือเอาคำเบิกความของ ส. เป็นข้อแพ้ชนะในคดีถือว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (1) โดยมี เงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นเป็นประโยชน์ต่อคู่ความฝ่ายใด อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นทั้งหมด เมื่อ ส. เบิกความว่าน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตของแผนที่พิพาทส่วนที่จำเลยชี้น่าจะเป็นเส้นแนวเขตที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของคำท้า ทุกประการ โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรับรองแนวเขตที่ดินที่ติดกับที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แผนที่ที่โจทก์อ้างยังไม่มีการรับรองแนวเขตว่าถูกต้อง จำเลยทั้งสองขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินของจำเลยที่ ๑ แต่ต้องยกเลิก เนื่องจากไม่สามารถตกลงกับโจทก์ได้ในเรื่องแนวเขต ที่ดิน โจทก์สร้างตึกรุกล้ำแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ ๑ ที่ให้นางจิรวัลย์เช่า จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ก่อนจะมีการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาท โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินระบุรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินพิพาท รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งเพาะปลูกบนดิน รวมทั้งสิ่งอื่นใดตามที่เจ้าพนักงานที่ดินเห็นสมควร เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาคดีเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จแล้ว ศาลได้ให้คู่ความทั้งสองฝ่ายตรวจดู ต่างรับรองว่าแผนที่พิพาทถูกต้องและอ้างเป็นพยานร่วมกันตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล. ๑ และคู่ความได้ท้ากันว่า ให้ถือเอาคำเบิกความของนายสมพุทธ จองมั่นคง เจ้าพนักงานที่ดินผู้จำลองแผนที่พิพาท เป็นข้อแพ้ชนะในคดี หากนายสมพุทธนำแผนที่พิพาทเปรียบเทียบกับรูปจำลองแผนที่ของที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๕๓ ตำบลวัดชลอ (บางกรวยฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แล้ว นายสมพุทธเห็นว่าหรือน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตตามแผนที่พิพาทส่วนที่โจทก์นำชี้หรือส่วนที่จำเลยนำชี้เส้นแนวเขตไหนน่าจะเป็นเขตที่ถูกต้องคู่ความยอมรับตามนั้นหากเส้นแนวเขตที่โจทก์นำชี้ถูกต้อง จำเลยยอมแพ้คดี หากส่วนที่จำเลยนำชี้ถูกต้องโจทก์ยอมแพ้คดี และคู่ความต่างแถลงสละประเด็นข้อพิพาททั้งหมด ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดนนทบุรี ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๑ ต่อมานายสมพุทธเบิกความต่อศาลว่าน่าเชื่อว่า เส้นแนวเขตตามแผนที่พิพาทส่วนที่จำเลยนำชี้น่าจะเป็นแนวเขตที่ถูกต้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีตามคำท้าเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยฎีกาของโจทก์สรุปใจความได้ว่า การที่นายสมพุทธเบิกความว่า น่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตตามแผนที่ส่วนที่จำเลยนำชี้น่าจะเป็นเส้นแนวเขตที่ถูกต้องนั้นเป็นการเบิกความอย่างไม่ได้มั่นใจ จึงไม่อาจอาศัยข้อเท็จจริงตามคำเบิกความดังกล่าว พิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ เห็นว่า การที่โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้ถือเอาคำเบิกความของนายสมพุทธเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนั้น ถือว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๔ (๑) โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นเป็นประโยชน์ต่อคู่ความฝ่ายใด อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นทั้งหมด เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า นายสมพุทธเบิกความว่าน่าเชื่อว่าเส้นแนวเขตของแผนที่พิพาทส่วนที่จำเลยชี้น่าจะเป็นเส้นแนวเขตที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของคำท้าทุกประการ โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความของศาลฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share