คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8194/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยร่วมฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยร่วมเป็นการขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพราะฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะนายจ้างนั้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยร่วม ฎีกาของจำเลยร่วมจึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้มานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
กำหนดอายุความ 1 ปี ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 448วรรคหนึ่ง จะเริ่มนับก็ต่อเมื่อผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว หากผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดแต่ยังไม่รู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน กำหนดอายุความ 1 ปี นั้นก็จะยังไม่เริ่มนับ โจทก์เพิ่งได้ทราบจากคำให้การของจำเลยที่ 2 ซึ่งยื่นต่อศาลเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2533 ว่าจำเลยที่ 2 ได้ขายรถยนต์คันเกิดเหตุให้แก่จำเลยร่วมไปก่อนเกิดเหตุ โจทก์จึงเพิ่งรู้ตัวผู้ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าคือจำเลยร่วม ที่โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2534 ยังไม่ล่วงพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยร่วมจึงไม่ขาดอายุความ

Share