คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3346/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง นั้น หมายความว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาก็ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความแล้ว แต่จำเลยยังอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวอยู่ ก็ถือว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาเช่นเดียวกัน โจทก์จึงไม่อาจนำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องอีกได้เป็นฟ้องซ้อน
โจทก์นำคดีเรื่องเดียวกันกับคดีก่อนมาฟ้องจำเลยคนเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตั้งแต่วันยื่นคำฟ้องแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากวันยื่นคำฟ้องนั้นแม้คดีก่อนต่อมาจะถึงที่สุดก็ตาม ส่วนการจำหน่ายคดีตามมาตรา 201 วรรคแรก ที่ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องใหม่นั้น เป็นเพียงไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องใหม่ ส่วนโจทก์จะยื่นคำฟ้องใหม่ได้หรือไม่ ต้องบังคับตามมาตรา 173 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสุทธิพงศ์ตันพงษ์เจริญ เมื่อระหว่างวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๑ ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๑ จำเลยได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีโจทก์โดยเปิดเผย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอคิดค่าทดแทนเป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และขอให้จำเลยคืนเงินสดอันเป็นสินสมรสที่สามีโจทก์นำไปซื้อทรัพย์สินมอบให้จำเลยคือรถยนต์พร้อมอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๑๖,๘๙๖ บาท กับเงินสดที่สามีโจทก์นำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารให้แก่จำเลยจำนวน ๒๐๕,๑๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๒๑,๙๙๖ บาท ขอให้จำเลยชำระเงิน ๘๒๑,๙๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีเรื่องเดียวกันต่อศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๘๒๖/๒๕๓๑ หมายเลขแดงที่ ๑๓๗๔๐/๒๕๓๑ และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อน จำเลยไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีโจทก์ สามีโจทก์ไม่เคยซื้อรถยนต์ และไม่เคยนำเงินฝากเข้าบัญชีธนาคารให้แก่จำเลยจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ประมวลฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง บัญญัติว่า”นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้วคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาและผลแห่งการนี้
(๑) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น…”ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ถ้าคดีก่อนยังค้างพิจารณาอยู่ในศาล โจทก์จะนำคดีเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องจำเลยคนเดียวกันอีกไม่ได้ และคำว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณานั้น หมายความว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาก็ได้ โจทก์จึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ ดังนั้นแม้ศาลชั้นต้นจะสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความแล้ว แต่จำเลยยังอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวอยู่กรณีจึงเป็นเรื่องคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาเช่นเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่โจทก์แก้ฎีกาว่า ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว คดีก่อนได้ถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น และจำเลยไม่ฎีกา ทั้งกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๑ วรรคแรก ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องใหม่ได้ โจทก์จึงมีสิทธิเสนอคำฟ้องคดีนี้ได้นั้น เห็นว่าโจทก์มาฟ้องคดีนี้เป็นการยื่นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตั้งแต่วันยื่นคำฟ้องแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากวันยื่นคำฟ้องนั้น ส่วนที่มาตรา ๒๐๑ วรรคแรกไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องใหม่นั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวเพียงไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องใหม่ ส่วนโจทก์จะยื่นคำฟ้องคดีใหม่ได้หรือไม่ ต้องบังคับตามมาตรา ๑๗๓ ด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share