คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3393/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกค่าสมนาคุณตอบแทนคืนเมื่อเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการเบิกเงินของจำเลยนั้น เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสองแล้ว
คำฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์จ่ายเงินค่าสมนาคุณตอบแทนให้แก่จำเลยรับไปโดยผิดหลงโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำเงินที่รับไปส่งคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์โดยมิได้บรรยายมาในฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิติดตามเอาเงินคืนจากจำเลยได้อันเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา 1336 กรณีจึงเป็นเรื่องฟ้องให้คืนเงินฐานลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความ 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 419

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการรวบรวมเรียบเรียงต้นฉบับหนังสือปัญหาและเฉลยบาลีสนามหลวง และได้จ่ายเงินค่าสมนาคุณให้แก่จำเลยในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิเป็นจำนวน ๒๓,๑๒๐ บาท ซึ่งเป็นการจ่ายโดยผิดหลง เพราะจำเลยเป็นข้าราชการไม่อาจเป็นผู้ทรงคุณวุฒิได้ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำเงินที่รับไปส่งคืน จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน ๒๓,๑๒๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องคืนเงินค่าสมนาคุณให้แก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการเบิกเงินของจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๒๓,๑๒๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินสมนาคุณคืนจากจำเลยเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนในฐานลาภมิควรได้ ซึ่งมีอายุความ ๑ ปี นับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๑๙ โจทก์ทำหนังสือทวงถามจำเลย ฉบับลงวันที่๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ ถือว่าโจทก์ทราบว่ามีสิทธิเรียกร้องเงินสมนาคุณคืนตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๓๑ จึงขาดอายุความ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า จำเลยให้การเพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกเงินค่าสมนาคุณตอบแทนคืนเมื่อเกิน ๑ ปีนับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการเบิกเงินของจำเลย จำเลยไม่ได้ให้การว่า ตามคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องฟ้องเรียกคืนในฐานลาภมิควรได้ ซึ่งมีอายุความ ๑ ปี จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งและไม่มีเหตุแห่งการนั้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกเรื่องอายุความฐานลาภมิควรได้มาเป็นเหตุยกฟ้องนั้น เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง แล้วส่วนอายุความที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้นั้นจะต้องด้วยบทกฎหมายลักษณะใดเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเอง ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องเรียกเงินสมนาคุณคืนจากจำเลยเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนในฐานลาภมิควรได้มีอายุความ ๑ ปี นับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๑๙ จึงชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า การฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการฟ้องติดตามเอาเงินคืน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ หาใช่เป็นการฟ้องเรียกเงินคืนฐานลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความตามมาตรา ๔๑๙ ไม่ ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่าตามฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์จ่ายเงินค่าสมนาคุณตอบแทนให้แก่จำเลยรับไปโดยผิดหลง โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำเงินที่รับไปส่งคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์โดยมิได้บรรยายมาในฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิติดตามเอาเงินคืนจากจำเลยได้อันเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา ๑๓๓๖ กรณีจึงเป็นเรื่องฟ้องให้คืนเงินฐานลาภมิควรได้ ดังนั้นจึงมิใช่เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนตามกฎหมายดังกล่าว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share