แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ 1 ที่ภูมิลำเนาแล้ว มีคนอยู่แต่ไม่ยอมรับไว้แทน บุคคลที่อยู่ในบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นบุคคลในวงเครือญาติกัน เชื่อว่าต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1ทราบแล้ว นับแต่วันปิดหมายจนถึงวันครบกำหนดยื่นคำให้การเป็นเวลานานถึง 23 วัน มีเวลาเพียงพอแต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นคำให้การ ถือว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ปลูกสร้างอาคารพิพาทขึ้นใหม่ทั้งหลังโดยไม่เว้นแนวอาคารให้ห่างจากถนนและด้านหลังอาคารก็มิได้เว้นห่างจากจุดศูนย์กลางของตรอกซึ่งเป็นทางสาธารณะตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ.2522 ข้อ 72 และข้อ 76 (4) อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยและป้องกันอัคคีภัยการสัญจรไปมาและการรักษาอาคารให้เป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ศาลฎีกาไม่อาจใช้ดุลพินิจให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารดังกล่าวให้ถูกต้องตามที่จำเลยที่ 2 ขออนุญาตได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า อาคารพิพาทได้ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นและขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ทั้งไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้เป็นเจ้าของและจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ครอบครองจึงมีหน้าที่ต้องรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตและฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครออกไป โจทก์ได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รื้อถอนอาคารภายใน ๓๐ วันแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนอาคารตึกแถวเลขที่ ๒๒๘ ถนนวรจักร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ทั้งหมดออกไป ถ้าจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอนหรือไม่อาจรื้อถอนก็ให้โจทก์รื้อถอนได้เองตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายแทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ และต่อมาจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาต
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นผู้ก่อสร้างดัดแปลงหรือกระทำการใด ๆในตัวอาคารพิพาท จำเลยที่ ๒ มีสิทธิครอบครองและใช้สอยอาคารพิพาทในฐานะผู้เช่าตามสัญญาเช่าขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนอาคารตึกแถวเลขที่ ๒๒๘ ถนนวรจักร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ทั้งหมดออกไป หากจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอนก็ให้โจทก์รื้อถอนได้เอง โดยให้จำเลยทั้งสองออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า พนักงานเดินหมายได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยที่ ๑ ที่บ้านเลขที่ ๑๖๓๑/๗๓ ถนนจันทร์ แขวงทุ่งวัดดอนเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ที่จำเลยที่ ๑ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านพร้อมกับบิดามารดาและพี่น้องอีก ๕ คน โดยพนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งถึง ๒ ครั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๙ พบหญิงอายุประมาณ ๒๓ ปี แจ้งว่าจำเลยที่ ๑ ไปทำงานและไม่ยอมรับไว้แทน และครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๒๙ พบหญิงอายุประมาณ๒๓ ปี ไม่ยอมรับ จึงได้ปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล เห็นว่า ได้มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ ๑ ที่ภูมิลำเนาแล้ว มีคนอยู่แต่ไม่ยอมรับไว้แทน บุคคลที่อยู่ในบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นบุคคลในวงเครือญาติกัน เชื่อว่าต้องแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบเรื่องที่ถูกฟ้องแล้วนับแต่วันปิดหมายจนถึงวันครบกำหนดยื่นคำให้การเป็นเวลานานถึง ๒๓ วัน มีเวลาเพียงพอที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ จงใจขาดนัดยื่นคำให้การนั้นชอบแล้ว
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ว่า หากจะรื้อถอนอาคารพิพาทที่จำเลยที่ ๒เช่าอยู่ก็จะไม่เกิดประโยชน์แก่ทางราชการหรือการจราจร และป้องปราบหรือป้องกันอุบัติเหตุแต่อย่างใด เพราะอาคารพิพาทอยู่ในระดับเดียวกันกับอาคารอื่น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอศาลฎีกาได้โปรดไม่ให้มีการรื้อถอน แต่ให้มีการอนุญาตให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องต่อไป นั้นเห็นว่า นางรัชนีปลูกสร้างอาคารพิพาทขึ้นใหม่ทั้งหลังโดยไม่เว้นแนวอาคารให้ห่างจากถนนและด้านหลังอาคารก็มิได้เว้นห่างจากจุดศูนย์กลางของตรอกซึ่งเป็นทางสาธารณะตามข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้าง พ.ศ.๒๕๒๒ ข้อ ๗๒ และข้อ ๗๖ (๔) อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยและป้องกันอัคคีภัย การสัญจรไปมาและการรักษาอาคารให้เป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งศาลฎีกาไม่อาจใช้ดุลพินิจให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารดังกล่าวให้ถูกต้องได้
พิพากษายืน.