แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายระบุว่าเป็นการซื้อขายที่ดินตาม น.ส.3 เนื้อที่ประมาณ65 ไร่ 3 งาน 48 ตารางวา ในราคาไร่ละ 4,300 บาท เป็นเงิน 2,838,000 บาทย่อมแสดงให้เห็นว่าคู่สัญญามีเจตนาถือเอาเนื้อที่ดินเป็นสาระสำคัญ เป็นการซื้อขายโดยกำหนดจำนวนเนื้อที่ดิน ไม่ใช่เป็นการซื้อขายเหมาที่ดินกันทั้งแปลง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าที่ดินบางส่วนจำนวน 1,133,802.50 บาทคืนโดยอ้างว่าจำเลยส่งมอบที่ดินน้อยกว่าที่ดินตามที่ตกลงซื้อขายกัน กรณีจึงเป็นเรื่องฟ้องจำเลยให้คืนเงินดังกล่าวฐานลาภมิควรได้ มิใช่เป็นการฟ้องจำเลยให้รับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวน จึงนำอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 467 มาบังคับไม่ได้ ต้องนำอายุความเรื่องลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 419 ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น โจทก์รู้ว่าที่ดินขาดจำนวนเมื่อเดือนเมษายน 2535 และโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 2 กรกฎาคม 2535 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องตั้งประเด็นว่า จำเลยส่งมอบที่ดินน้อยกว่าเนื้อที่ตามที่ตกลงซื้อขายกัน ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าที่ดินบางส่วนแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเรื่องอายุความว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นเป็นประเด็นว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนฐานลาภมิควรได้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาเรื่องลาภมิควรได้ขึ้นวินิจฉัย จึงมิใช่เป็นการนอกเหนือคำฟ้องและคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์