แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นนายหน้าและตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ของจำเลยที่ 2โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมอบอำนาจแจ้งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์แทนจำเลยที่ 2ในการซื้อขายหลักทรัพย์โจทก์จะเป็นผู้ออกเงินทดรองเป็นค่าซื้อหลักทรัพย์และค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นให้แก่จำเลยที่ 2 ภายในวงเงิน 2,500,000 บาท และเพื่อเป็นหลักประกันในการออกเงินทดรองเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ จำเลยที่ 2จะต้องนำตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ ตามที่ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ระเบียบหรือประกาศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังกำหนดไว้ในแต่ละครั้งมาจำนำเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้และค่าอุปกรณ์ไว้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญากู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวน 3,500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ผิดนัดคิดดอกเบี้ยร้อยละ21 ต่อปี โดยจำเลยที่ 2 นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการกู้ยืมไว้ ในการกู้ยืมเงินโจทก์ได้สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน3,500,000 บาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2534 เช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินได้และในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 2 ก็ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์จำนวนเดียวกันกับที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยที่ 2 และโจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงินได้ในวันดังกล่าวในวันนั้นโจทก์ก็ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเงิน 3,500,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวให้แก่โจทก์กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ได้ชำระเงินกู้จำนวน 3,500,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2แล้ว และจำเลยที่ 2 ก็ได้รับเงินจำนวนที่กู้จากโจทก์ไปแล้วตามวิธีการโอนเงินทางธนาคาร ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 2 ก็ได้จ่ายเงินคืนให้แก่โจทก์ก็เพราะจำเลยที่ 2 นำเงินดังกล่าวฝากไว้กับโจทก์ตามวิธีการโอนเงินทางธนาคารเช่นเดียวกัน โจทก์จึงได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จำเลยที่ 2 จะทำการซื้อขายหุ้นกับโจทก์ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดไว้ ดังนี้ การที่จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินและจำนองประกันการกู้ยืมไว้กับโจทก์ แล้วจำเลยที่ 2 ฝากเงินไว้กับโจทก์เพื่อวัตถุประสงค์ในการที่จะให้โจทก์ดำเนินการเป็นนายหน้าและตัวแทนในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินเป็หลักประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าว จึงมิใช่เป็นเรื่องนิติกรรมอำพรางหรือนิติกรรมทำขึ้นด้วยการแสดงเจตนาลวง สัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองดังกล่าว