แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยจะไม่มีกำหนดเวลา แต่สัญญาบัญชีเดินสะพัดเป็นเอกเทศสัญญามีลักษณะเฉพาะโดยสัญญาจะคงสภาพอยู่ต่อไปได้ก็จะต้องมีการสะพัดทางบัญชีอย่างต่อเนื่องและภายในระยะเวลาอันสมควร เมื่อจำเลยเดินสะพัดทางบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2531 แล้วไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีอีกเลยเป็นระยะเวลานานถึง 9 ปีเศษ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเลิกสัญญากับโจทก์โดยปริยายแล้ว
โจทก์เป็นสถาบันการเงินมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตราบัญชีของลูกค้าอยู่ตลอดว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกค้าโจทก์ไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชีโจทก์ย่อมจะต้องทวงถามหรืออาจบอกเลิกสัญญา ภายในเวลาอันสมควร มิใช่ถือโอกาสใช้สิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่จำเลยในระยะเวลายาวนานเกินสมควรเช่นนี้ ถือได้ว่าการใช้สิทธิของโจทก์มิได้กระทำโดยสุจริต เมื่อมีข้อสงสัยก็ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องเสียหายในมูลหนี้ โดยถือว่าสัญญาเลิกกันตั้งแต่วันที่จำเลยมีเจตนาเลิกสัญญากับโจทก์โดยปริยายคือวันที่จำเลยเดินสะพัดทางบัญชีครั้งสุดท้าย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2543)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๖ จำเลยเปิดบัญชีเดินสะพัดกับโจกท์และได้เดินสะพัดทางบัญชีนำเงินเข้าหักทอนบัญชีกับโจทก์เรื่อยมา โดยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๑ จำเลยนำเงินมาเข้าบัญชีจำนวน ๑,๐๙๔.๙๑ บาท ซึ่งรายการในบัญชีแสดงจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๒๘,๘๖๗.๙๒ บาท แล้วมิได้นำเงินมาเข้าหักทอนบัญชีกับโจทก์อีก โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายใน ๑๕ วัน ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้จึงถือว่า บัญชีเดินสะพัดเลิกกันขอให้จำเลยชำระหนี้โจทก์เป็นจำนวน ๑๖๕,๗๒๕.๙๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นใน อัตราร้อยละ ๑๙.๗๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๕๓,๔๐๓.๓๓ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๘,๘๖๗.๙๒ บาท แก่โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๑ ถึงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๓ ถึงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๕ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ ดอกเบี้ยใน อัตราร้อยละ ๑๙.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๐ ถึงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙.๗๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้เปิดบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๖ โดยไม่มีกำหนดอายุสัญญา อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีให้คิดทบต้นได้ และยอมให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยได้ จำเลยได้นำเงินฝากเดินสะพัดทางบัญชีเพื่อหักทอนยอดหนี้กับโจทก์ตลอดมาจนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๑ โดยในวันดังกล่าวมียอดหนี้ค้างชำระโจทก์จำนวน ๒๘,๘๖๗.๙๒ บาท ต่อมาโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ภายใน ๑๕ วัน ครบกำหนดวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๑ จำเลยไม่ชำระหนี้จึงมียอดค้างชำระรวมทั้งสิ้น ๑๕๓,๔๐๓.๓๓ บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า สัญญาเลิกกันในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๑ หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยจะไม่มีกำหนดเวลา แต่สัญญาบัญชีเดินสะพัดเป็นเอกเทศสัญญามีลักษณะเฉพาะโดยสัญญาจะคงสภาพอยู่ต่อไปได้ก็จะต้องมีการสะพัดทางบัญชีอย่างต่อเนื่องและ ภายในระยะเวลาอันสมควร เมื่อจำเลยเดินสะพัดทางบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๑ แล้วไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีอีกเลยเป็นระยะเวลานานถึง ๙ ปีเศษ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเลิกสัญญากับโจทก์โดยปริยายแล้ว
ส่วนปัญหาว่าสัญญาสิ้นสุดแต่เวลาใด ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงินมี เจ้าหน้าที่คอยตรวจตราบัญชีของลูกค้าอยู่ตลอดว่า มีการเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกค้าโจทก์ไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชีโจทก์ย่อมจะต้องทวงถามหรืออาจบอกเลิกสัญญาภายในเวลาอันสมควร มิใช่ถือโอกาสใช้สิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่จำเลยในระยะเวลายาวนานเกินสมควร เช่นนี้ถือได้ว่าการใช้สิทธิของโจทก์มิได้กระทำโดยสุจริต เมื่อมีข้อสงสัยก็ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องเสียหายในมูลหนี้ โดยถือว่าสัญญาเลิกกันตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๑ แต่ศาลชั้นต้นกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ให้จำเลยชำระแก่โจทก์ยังไม่ถูกต้อง เพราะในขณะนั้นสัญญาเลิกกัน ปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ดังนั้นหลังจากสัญญาเลิกกันแล้วโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยต่อไปเพียงอัตราดังกล่าวแบบไม่ทบต้นจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ เสร็จสิ้นเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๘,๘๖๗.๙๒ บาท แบบไม่ทบต้น นับแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น