คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เอาเรือที่จำเลยจ้างซ่อมขึ้นคานเมื่อซ่อมเสร็จก็เอาลงจากคานจอดไว้ในแม่น้ำเจ้าพระยา คอยอยู่เป็นเวลานาน จำเลยก็ไม่มาชำระค่าซ่อมและรับเรือ คนของจำเลยก็ไม่มีเผ้า เมื่อเรือจะจม โจทก์จึงเอาขึ้นนอนคานไว้ในอู่อีก ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์จัดการไปสมประโยชน์ของจำเลยและต้องด้วยความประสงค์ของจำเลยที่พึงสันนิษฐานได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าคานเรือให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เป็นเจ้าของและผู้จัดการอู่เรือสหประมง เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๐๒ จำเลยทั้งสองตกลงจ้างโจทก์ซ่อมแซมเรือยนต์เดินทะเลชื่อแดงพิชัย โดยตกลงให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าสัมภาระ ค่าแรงงาน ซ่อมเสร็จแล้วจึงจะคิดราคากัน โจทก์นำเรือขึ้นนอนคานทำการซ่อม ๑๓ มกราคม เสร็จแล้วนำเรือลงจากคานลอยลำอยู่หน้าอู่ของโจทก์เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ แต่จำเลยทั้งสองไม่มาติดต่อคิดเงินและชำระเงินให้โจทก์ หลบหน้าหายไปวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ เรือจะจมโจทก์จึงต้องเอาขึ้นคานไว้ ติดต่อจำเลยอีกก็เพิกเฉย จึงฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าซ่อมเรือ ๑๐,๖๑๓ บาท ๕๐ สตางค์ และค่าเรือนอนคานเป็นเงิน ๘,๐๔๐ บาท และแต่วันฟ้องวันละ ๑๕ บาท จนกว่าจำเลยจะรับเรือไป
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่เป็นเจ้าของเรือ ไม่เคยจ้างโจทก์ซ่อมเรือ ค่าซ่อมเรือสูงเกินไป จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าเรือนนอนคาน การเอาเรือขึ้นนอนคานนั้น โจทก์จัดการไปฝ่ายเดียว จำเลยไม่รู้เห็นด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าซ่อมเรือ ๑๐,๖๑๓.๕๐ บาท และค่าเรือนอนคาน ๘,๐๘๐ บาท ถึงวันฟ้อง และต่อไปอีกวันละ ๑๕ บาท จนกว่าจำเลยจะรับเรือไป
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์มั่นคง มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองได้นำเรือไปว่าจ้างให้โจทก์ทำการซ่อมจริง จำเลยที่ ๑ หาใช่เป็นตัวแทนนำเรือไปซ่อมดังฎีกาไม่ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ไม่ควรต้องรับผิดค่าเรือนอนคานตอนที่เรือจะจม เพราะโจทก์ทำไปเองตามลำพังโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยก่อน ในข้อนี้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ทำการซ่อมเรือแดงพิชัยเสร็จ และเอาลงจากคานมาจอดไว้ในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเวลานาน เพื่อคอยให้จำเลยมาชำระเงินค่าซ่อมเรือและรับเรือไป ทั้งไม่มีคนเฝ้าเรือของจำเลยในระยะนั้น เมื่อเรือจะจมโจทก์จำต้องเอาขึ้นคานไว้ ก็เป็นการที่โจทก์จัดการไปสมประโยชน์ของจำเลยและด้วยความประสงค์ของจำเลยที่พึงสันนิษฐานได้ ฉะนั้น จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดในการที่โจทก์+ทำไปดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share