แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจกท์เช่าตึกแถวเขามา 16 ห้องแล้วแบ่งให้ผู้อื่นเช่าเสีย 2 ห้องโดยให้ผู้นั้นไปทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าเองโดยตรง ภายหลังผู้นั้นเลิกการเช่า โจทก์จึงเข้าทำสัญญาเช่าห้อง 2 ห้องนั้นกับผู้ให้เช่าใหม่ แต่ปรากฎว่ามีจำเลยอยู่ในห้อง 2 ห้องตั้งแต่เมื่อผู้อื่นเช่าดังกล่าวแล้ว และไม่ยอมออก ดังนี้ โจทก์ยังหามีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยไม่ แต่เป็นเรื่องของผู้ให้เช่าจะต้องฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เช่าตึกมุมถนนวรจักรและถนนเจริญกรุงจากสำนักงานทรัพย์สินรวม ๑๖ ห้องเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ โจทก์ได้ให้พระยาโทณวนิกมนตรีเช่าห้องเลขที่ ๖๐ และ ๖๑ ไปสองห้อง พระยาโทณวนิกได้เลิกการเช่าใน พ.ศ.๒๔๙๑ บริษัทโจทก์ได้เช่าห้องทั้งสองนี้จากสำนักทรัพย์สินตามเดิม บริษัทจำเลยซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในตึกทั้งสองนี้ไม่ยอมออกไป จึงฟ้องขอให้ขับไล่
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ยอมให้พระยาโทณวนิก ฯ ทำสัญญาเช่าห้องรายพิพาทโดยตรงต่อสำนักงานทรัพย์สิน ฯ แล้ว โจทก์กับพระยาโทณวนิก ฯ ก็ไม่มีนิติสัมพันธ์อย่างใดต่อกัน ไม่มีทางที่จะถือว่าโจทก์ยังครอบครองห้องรายพิพาทอยู่อีก เมื่อโจทก์มาทำสัญญาเช่าใหม่ แต่เข้าครอบครองห้องเช่ามิได้เพราะจำเลยไม่ยอมออกเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องของสำนักงานทรัพย์สิน ฯ ผู้ให้เช่าจะต้องฟ้อง โจทก์หามีสิทธิฟ้องเองไม่
จึงพิพากษายืน