คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ใดจะอ้างว่าตนมีสิทธิในที่ดินตาม ก.ม.ลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 ผู้นั้นจะต้องพิศูจน์ให้ได้ความชัดเจนว่าที่ดินนั้นเป็นที่บ้านที่สวนตามความหมายแห่งกฎหมายบทนั้นสักแต่ว่าคำเรียกว่าเป็น+วนคำเดียว หาทำให้ผู้นั้นมีสิทธิในที่มือเปล่า (ที่เรียกว่าสวนนั้น) ดีกว่าที่ไร่ที่นาไม่
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า ที่พิพาทอยู่ในตำบลหนึ่งอำเภอหนึ่ง แต่นำสืบว่าอยู่อีกตำบล และอีกอำเภอหนึ่ง ดังนี้ เมื่อปรากฎว่าโจทก์จำเลยต่างแถลงรับแผนที่พิพาทกันแล้วว่าถูกต้อง จึงไม่มีทางที่จะสงสัยว่าพิพาทกันในที่ดินแปลงอื่น จึงไม่ใช่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๑๐๐๐ บาท มอบสวนจาก ๑ แปลงให้ทำต่างดอกเบี้ย ภายหลังไม่ใช้เงิน ยอมยกสวนจากที่กล่าวแล้ว ตีใช้หนี้ โจทก์ได้ยึดถือครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา บัดนี้จำเลยสมคบกันบุกรุกเข้าตัดฟันต้นจากเสียหายไป ๑๐๐ กอ ราคา ๘๐๐ บาท จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาท ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับให้ใช้ค่าเสียหาย ๘๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า โจทก์ทำสวนจากต่างดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๑ ขายสวนจากให้จำเลยที่ ๒ รับเงินมัดจำไปบ้างแล้ว จำเลยจึงเข้าแผ้วถางตกแต่งหาได้เสียหายไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องต่อไปให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๘๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์กล่าวว่าที่พิพาทอยู่ในตำบลบ้านเนิน อำเภอเชียงใหญ่ แต่โจทก์นำสืบว่าที่พิพาทอยู่ในตำบลปากแพรก อำเภอปากพนัง ต่างประเด็นในฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงรับแผนที่พิพาทกันแล้วว่าถูกต้อง ไม่มีทางที่จะสงสัยว่าพิพาทกันในที่ดินแปลงอื่น ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ทีจำเลยฎีกาว่าที่รายนี้เป็นสวนจากกู้เงินมายังไม่เกิน ๑๐ ปี กรรมสิทธิของจำเลยยังไม่ตกไปยังโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่เรียกกันว่าสวนจากนั้นพยานจำเลยเองบางคนก็เรียกว่าไร่ ศาลชั้นต้นก็ฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นที่ดินมือเปล่า ไม่ปรากฎว่าเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ใดจะอ้างว่าตนมีสิทธิในที่ดินตาม ก.ม.ลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ ผู้นั้นจะต้องพิศูจน์ให้ได้ความชัดเจนว่าที่ดินนั้นเป็นที่บ้านที่สวนตามความหมายแห่งกฎหมายบทนั้น สักแต่ว่าคำเรียกว่าเป็นสวนคำเดียว หาทำให้จำลยมีสิทธิในที่มือเปล่าดีกว่าที่ไร่ที่นาไม่
ฎีกาที่ว่า นายเยื้องจำเลยได้เข่ามาแผ้วถางที่ตบแต่งสวนพิพาทก็โดยนางเกลื่อนจำเลยขายให้ ทั้งได้รับเงิน ๕๐๐ บาทมัดจำไปแล้ว นายเยื้องจึงไม่ควรมีผิดฐานบุกรุกนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ตามที่ศาลล่างชี้ขาดต้องกันมา ก็ไม่ปรากฎว่านายเยื้องจำเลยได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์ให้โจทก์ต้องเสียหายในทรัพย์สินพิพาท จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยที่ ๒ เข้าตัดฟันต้นจากก็เพราะการกระทำของจำเลยที่ ๑ เอาที่พิพาทไปขายจำเลยที่ ๒ ต่างหาก จำเลยที่ ๒ ยังไม่ควรต้องรับผิดร่วมด้วย
จึงพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับที่นายเยื้องจำเลยที่ ๒ เสียนอกนั้นยืน

Share