แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเสมียนกรมรถไฟประจำสถานีหนึ่งมีหน้าที่ขายตั๋วรถไฟให้ผู้โดยสาร จำเลยใช้ตั๋วของกรมรถไฟซึ่งได้ศูนย์หายไปในระหว่างทางและไม่ได้อยู่ในบัญชีสถานีที่จำเลยประจำอยู่ มาเขียนกรอกข้อความลงไปแล้วปลอมขายว่าเป็นตั๋วรถไฟที่แท้จริงให้แก่ผู้ซื้อไป ดังนี้ เงินที่จำเลยขายตั๋วปลอมได้มา จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องส่งให้นายสถานีนั้น จำเลยเอาเงินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย จำเลยจึงไม่มีผิดฐานยักยอกตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131 หรือ 319
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการเสมียนกรมรถไฟประจำสถานีชุมพร มีหน้าที่ขายตั๋วรถไฟให้ผู้โดยสารและปกครองรักษาเงินค่าขายตั๋วนั้น ซึ่งเป็นเงินรายได้ของกรมรถไฟ แล้วนำเงินนั้นส่งนายสถานีชุมพร จำเลยได้ขายตั๋วรถไฟตามหน้าที่ให้แก่ผู้โดยสารรวม ๖ ฉะบับเป็นเงิน ๑๔๗ บาท จำเลยรับเงินแล้วหาได้นำส่งนายสถานีชุมพรตามหน้าที่ ได้มีเจตนาทุจริตยักยอมเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ขอให้ลงโทษฐานยักยอก
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยไม่ผิดฐานยักยอก จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยผิดฐานยักยอกเงินของกรมรถไฟ จึงพิพากษากลับว่าจำเลยผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๑๙ (๓) ให้จำคุก ๒ ปีกับใช้เงิน ๑๔๗ บาท
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตั๋วของกลาง ๖ ฉะบับที่จำเลยขายไปนี้เป็นตั๋วที่กรมรถไฟส่งไปเพื่อให้สถานีชุมพรใช้ขายแก่ผู้โดยสาร แต่ได้หายเสียระหว่างทางไปถึงสถานีชุมพรตั๋วของกลางจึงไม่มีในบัญชีของสถานีชุมพร การกระทำของจำเลย ดังนี้ เป็นการกระทำนอกเหนือหน้าที่ของจำเลย ที่ทางการกรมรถไฟมอบหมายให้ทำ ที่จำเลยขายตั๋วปลอมได้มา จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องส่งให้นายสถานีชุมพรตามหน้าที่เพราะเงินที่ได้มานี้ ไม่ใช่มาจากการจำหน่ายตั๋วของกรมรถไฟ ความผิดของจำเลยถ้าจะมี ก็ไม่ใช่ฐานยักยอกตามมาตรา ๑๓๑ หรือ ๓๑๙ แห่งก.ม.ลักษณะอาญา
จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์